ตกผลึกความจริงจากพระธรรมอพยพ
บทเรียน 23:
บทเรียน 23:
"การครอบครองแผ่นดินแห่งพระสัญญา
"
(อพยพ 23:20-26)
(อพยพ 23:20-26)
ศึกษาเกี่ยวกับการที่พระเจ้าใช้ทูตของพระองค์ ให้นำชาวอิสราเอลเข้าครอบครองแผ่นดินแห่งพระสัญญา
ในอพยพ 23:20-26 ซึ่งเป็นภาพของการที่พระคริสต์นำผู้เชื่อเข้าครอบครองพระองค์เอง เพื่อที่เราจะให้พระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา
20 "นี่แน่ะ เราใช้ทูตของเรานำหน้าพวกเจ้า เพื่อคุ้มครองพวกเจ้าตามทาง และเพื่อนำพวกเจ้าไปถึงที่ที่เราได้เตรียมไว้
21 จงเอาใจใส่ทูตนั้น และจงเชื่อฟังเขา อย่าดื้อรั้นกับเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษให้พวกเจ้าเลย ด้วยว่าเขาทำในนามของเรา
22 "ถ้าเจ้าเชื่อฟังเขาจริงๆ และทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งไว้ เราจะเป็นศัตรูต่อศัตรูของเจ้าและจะเป็นปฏิปักษ์ต่อปฏิปักษ์ของเจ้า
23 "เมื่อ ทูตของเราไปข้างหน้าเจ้า และนำเจ้าไปถึงคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮีไวต์ และคนเยบุส แล้วเราจะกวาดล้างคนเหล่านั้นเสีย
24 ห้ามกราบไหว้หรือปรนนิบัติบรรดาพระของพวกเขา และห้ามทำตามแบบเขา แต่จงทำลายรูปเคารพของเขาให้สิ้นซาก และจงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แหลกละเอียด
25 จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงอวยพรแก่อาหารและน้ำของเจ้า เราจะเอาความเจ็บป่วยออกไปจากท่ามกลางเจ้า
26 จะไม่มีการแท้งลูก หรือเป็นหมันในดินแดนของเจ้า เราจะให้เจ้ามีอายุยืนนาน
(อพยพ 23:20-26)
21 จงเอาใจใส่ทูตนั้น และจงเชื่อฟังเขา อย่าดื้อรั้นกับเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษให้พวกเจ้าเลย ด้วยว่าเขาทำในนามของเรา
22 "ถ้าเจ้าเชื่อฟังเขาจริงๆ และทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งไว้ เราจะเป็นศัตรูต่อศัตรูของเจ้าและจะเป็นปฏิปักษ์ต่อปฏิปักษ์ของเจ้า
23 "เมื่อ ทูตของเราไปข้างหน้าเจ้า และนำเจ้าไปถึงคนอาโมไรต์ คนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนคานาอัน คนฮีไวต์ และคนเยบุส แล้วเราจะกวาดล้างคนเหล่านั้นเสีย
24 ห้ามกราบไหว้หรือปรนนิบัติบรรดาพระของพวกเขา และห้ามทำตามแบบเขา แต่จงทำลายรูปเคารพของเขาให้สิ้นซาก และจงทุบเสาศักดิ์สิทธิ์ของเขาให้แหลกละเอียด
25 จงปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกเจ้า แล้วพระองค์จะทรงอวยพรแก่อาหารและน้ำของเจ้า เราจะเอาความเจ็บป่วยออกไปจากท่ามกลางเจ้า
26 จะไม่มีการแท้งลูก หรือเป็นหมันในดินแดนของเจ้า เราจะให้เจ้ามีอายุยืนนาน
(อพยพ 23:20-26)
กฎข้อบังคับของพระเจ้าในอพยพบทที่ 21-23 ซึ่งเป็นส่วนขยายของบัญญัติสิบประการ
ได้ต่อท้ายด้วยคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะให้ทูตของพระองค์นำหน้าและคุ้มครองพวกเรา เพื่อนำเราไปยังแผ่นดินคานาอัน
ที่พระองค์สัญญาไว้ว่าจะให้แก่ประชากรของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ยังได้กำชับพวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาจะต้องทำ
เพื่อจะได้ครอบครองแผ่นดินแห่งพระสัญญาแห่งนี้
เรื่องราวนี้เกี่ยวข้องกับเราในฐานะผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่หรือไม่? เกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
เพราะพระธรรมตอนนี้ เต็มไปด้วยข้อความที่ให้กำลังใจแก่เรา และบทเรียนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเรา
ความหมายของทูตของพระยาห์เวห์และแผ่นดินแห่งพระสัญญา
ทูตของพระยาห์เวห์ คือ พระคริสต์
ทูตของพระเจ้าในพระธรรมตอนนี้คือใคร? คือทูตสวรรค์ธรรมดาหรือไม่?
ภาษาไทยในบางฉบับ เช่น TNCV ก็ใช้คำว่า "ทูตสวรรค์" ซึ่งก็เป็นการแปลตรงตัว ตรงกับภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า angel แต่ถ้าพี่น้องใช้เวอร์ชัน KJV หรือ NKJV จะเห็นได้ว่าคำคำนี้ ใช้ A เป็นตัวพิมพ์ใหญ่
นั่นหมายคำว่าทูตของพระเจ้าในที่นี้ ไม่ใช่ทูตสวรรค์ธรรมดา
แต่เป็นพระเจ้าพระองค์เอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนแปล KJV หรือ NKJV
คิดขึ้นมาเอง แต่เป็นจากการพิจารณาจากบริบท ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่า
ทูตของพระเจ้าองค์นี้ คือพระเจ้าแน่ๆ ไม่ใช่ทูตสวรรค์ธรรมดา
และถ้าจะกล่าวอย่างเจาะจง ทูตสวรรค์องค์นี้ คือ "พระคริสต์" ซึ่งสำแดงพระองค์เองก่อนที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์
มีอะไรสนับสนุนหรือไม่ว่าทูตของพระเจ้าคือพระคริสต์?
1. ทูตของพระยาห์เวห์
คือพระยาห์เวห์
1 ขณะโมเสสกำลังเลี้ยงฝูงแพะแกะของพ่อตาคือเยโธรผู้เป็นปุโรหิตของคนมีเดียน
ท่านได้พาฝูงแพะแกะข้ามถิ่นทุรกันดาร จนมาถึงภูเขาของพระเจ้าคือ โฮเรบ
2 ทูตของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏแก่โมเสส เป็นเปลวไฟท่ามกลางพุ่มไม้ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้
3 โมเสสจึงว่า "ข้าจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าทำไมพุ่มไม้จึงมิได้ไหม้"
4 เมื่อพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรเห็นท่านหันมาดู พระองค์จึงตรัสเรียกท่านจากพุ่มไม้นั้นว่า "โมเสส โมเสสเอ๋ย" โมเสสทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่"
(อพยพ 3:1-4)
2 ทูตของพระยาห์เวห์ก็ปรากฏแก่โมเสส เป็นเปลวไฟท่ามกลางพุ่มไม้ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้
3 โมเสสจึงว่า "ข้าจะแวะเข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าทำไมพุ่มไม้จึงมิได้ไหม้"
4 เมื่อพระยาห์เวห์ทอดพระเนตรเห็นท่านหันมาดู พระองค์จึงตรัสเรียกท่านจากพุ่มไม้นั้นว่า "โมเสส โมเสสเอ๋ย" โมเสสทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่"
(อพยพ 3:1-4)
ข้อ 2 บอกว่าทูตของพระยาห์เวห์ปรากฏแห่โมเสสเป็นเปลวเพลิงท่ามกลางพุ่มไม้
แต่ถ้าอ่านต่อไปในข้อ 4 จะเห็นได้ว่าพระยาห์เวห์ คือผู้ที่อยู่ในพุ่มไม้ ดังนั้น ทูตของพระยาห์เวห์ในที่นี้ คือพระยาห์เวห์พระองค์เอง
2. ทูตของพระยาห์เวห์ ทำทุกสิ่งในนามของพระยาห์เวห์
จงเอาใจใส่ทูตนั้น
และจงเชื่อฟังเขา อย่าดื้อรั้นกับเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษให้พวกเจ้าเลย
ด้วยว่าเขาทำในนามของเรา (อพยพ 23:21)
จากคำสั่งตอนนี้ เราจะเห็นได้ทันทีว่า ทูตองค์นี้มีสิทธิอำนาจมาก
เราจำเป็นต้องเชื่อฟังทุกอย่าง และทูตองค์นี้มาในนามของพระยาห์เวห์ แสดงว่าทูตองค์นี้ไม่น่าจะใช้ทูตสวรรค์ธรรมดา
เพราะมีสิทธิอำนาจเท่าเทียมกับพระเจ้าและทำทุกอย่างในนามของพระเจ้าเลยทีเดียว
ในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูกล่าวชัดเจนว่า คำทุกคำที่พระองค์สั่งสอน
เป็นคำของพระบิดาที่ดำรงอยู่ในพระองค์ พระคริสต์กับพระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดังนั้นคำของพระคริสต์ ก็คือคำของพระบิดานั่นเอง
ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา? คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น
เราไม่ได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์
(ยอห์น 14:10)
ดังนั้น ทูตของพระยาห์เวห์ คือ พระคริสต์นั่นเอง
3. ทูตของพระยาห์เวห์ คือผู้ที่พระยาห์เวห์ส่งมาเพื่อเรา
รากศัพท์ของคำว่า "ทูตสวรรค์" แปลว่า ผู้ส่งสาร หรือผู้ที่พระเจ้าส่งมาหาเรา
และจากพันธสัญญาใหม่ เราเห็นชัดเจนว่า พระคริสต์เองคือผู้ที่พระเจ้าส่งมาหาเรา
เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก
ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น (ยอห์น
3:17)
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา" (ยอห์น 6:29)
สรุปจากทั้งสามเหตุผล เราจะเห็นได้ว่า ทูตของพระยาห์เวห์คือพระยาห์เวห์เองที่ถูกส่งมาเพื่อเรา
ดังนั้น ทูตองค์นี้คงจะไม่ใช่ใครอื่นใด นอกจากพระคริสต์
แผ่นดินแห่งพระสัญญา คือ พระคริสต์
แผ่นดินดีหรือแผ่นดินแห่งพระสัญญาในพระคัมภีร์เดิม คือแผ่นดินที่พระเจ้าสัญญาว่าจะให้แก่อิสราเอล
แผ่นดินนี้จะเป็นมรดกของพวกเขา เป็นที่ที่พวกเขาจะหยั่งรากและอาศัยอยู่
แล้วมีความเกี่ยวข้องกับพวกเราที่ไม่ใช่ชาวยิวทางกายภาพหรือไม่? เกี่ยวข้องแน่นอน เพราะแผ่นดินดีที่พระเจ้าให้พวกเราครอบครอง
คือพระคริสต์นั่นเอง
มีหลักฐานมากมายสนับสนุนว่าแผ่นดินดีของพวกเรา คือพระคริสต์
แต่จะขอยกแค่พระคัมภีร์สองตอนครับ
และให้ท่านขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงทำให้พวกท่านสามารถมีส่วนในมรดกของธรรมิกชนในความสว่าง (โคโลสี
1:12)
6 เพราะฉะนั้น
ในเมื่อพวกท่านรับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าไว้แล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ด้วย
7 จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และจงให้การขอบพระคุณทวียิ่งขึ้น
(โคโลสี 2:6-7)
7 จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และจงให้การขอบพระคุณทวียิ่งขึ้น
(โคโลสี 2:6-7)
สำหรับชาวยิว มรดกของพวกเขาก็คือแผ่นดินคานาอัน แต่สำหรับผู้เชื่อในพระคริสต์
ซึ่งเป็นชาวยิวทางฝ่ายวิญญาณ มรดกของพวกเราก็คือพระคริสต์นั่นเอง
เราเคยดำรงอยู่ในความมืด แต่บัดนี้เราได้มีส่วนในมรดกในความสว่าง
พระคริสต์เป็นดินแดนของเราที่เราจะต้องหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้น
สรุปในพระธรรมอพยพ 23 ตอนนี้
ทูตของพระยาห์เวห์คือพระคริสต์ที่ถูกส่งมาเพื่อเรา และแผ่นดินดีคือพระคริสต์ผู้ซึ่งเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเรา
เพื่อประสบการณ์ชีวิตและความเพลิดเพลินของเรา
บทเรียนจาก อพยพ 23:20-26
1. แผ่นดินแห่งพระสัญญาเป็นเป้าหมายชีวิตของเรา
"นี่แน่ะ
เราใช้ทูตของเรานำหน้าพวกเจ้า เพื่อคุ้มครองพวกเจ้าตามทาง และเพื่อนำพวกเจ้าไปถึงที่ที่เราได้เตรียมไว้"
(อพยพ 23:20)
พระเจ้าไม่ได้นำอิสราเอลออกจากอียิปต์ เพื่อให้อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร
ที่ซึ่งพวกเขาได้รับธรรมบัญญัติต่างๆ แต่พระองค์นำพวกเขาออกมาเพื่อให้เข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญา
เช่นเดียวกัน พระเจ้าไม่ได้ช่วยเราให้หลุดพ้นจากอำนาจของบาปและซาตาน
เพื่อให้มานับถือศาสนาคริสต์ซึ่งมีกฎเกณฑ์ต่างๆ มากมาย แต่เพื่อนำเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์
นั่นคือการเข้าครอบครองพระคริสต์และดำรงชีวิตอยู่ในพระคริสต์ โดยมีพระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ
แม้ว่าอัครทูตเปาโลจะเคยพบกับพระเยซู และมีประสบการณ์กับพระเยซูมากมาย
ท่านไม่ได้คิดว่าท่านบรรลุแล้วเลย แต่ท่านกลับเขียนในจดหมายถึงคริสตจักรฟิลิปปีหลังจากที่ท่านรับใช้พระคริสต์มาแล้วหลายสิบปีไว้ดังนี้
ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุน
เพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า
เพราะเหตุพระองค์ข้าพเจ้ายอมขาดทุนทุกอย่าง และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเศษขยะเพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์เป็นกำไร
(ฟิลิปปี 3:8)
(ฟิลิปปี 3:8)
ขอให้ความปรารถนานี้เป็นความปรารถนาของเราเช่นกัน
นั่นคือที่เราจะได้พระคริสต์เป็นกำไรชีวิตของเรา ขอให้เรามุ่งหน้าต่อไปเพื่อที่เราจะได้ครอบครองพระคริสต์ในประสบการณ์ชีวิตของเราจริงๆ (ไม่ใช่ในทางทฤษฎีเท่านั้น)
และขอให้พระองค์เป็นที่หนึ่งและเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของเราเสมอ
2. ทูตของพระเจ้านำเราเข้าสู่ในดินแดนแห่งพระสัญญา
20 นี่แน่ะ
เราใช้ทูตของเรานำหน้าพวกเจ้า เพื่อคุ้มครองพวกเจ้าตามทาง และเพื่อนำพวกเจ้าไปถึงที่ที่เราได้เตรียมไว้
21 จงเอาใจใส่ทูตนั้น และจงเชื่อฟังเขา อย่าดื้อรั้นกับเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษให้พวกเจ้าเลย ด้วยว่าเขาทำในนามของเรา
(อพยพ 23:20-21)
21 จงเอาใจใส่ทูตนั้น และจงเชื่อฟังเขา อย่าดื้อรั้นกับเขา เพราะเขาจะไม่ยกโทษให้พวกเจ้าเลย ด้วยว่าเขาทำในนามของเรา
(อพยพ 23:20-21)
หนทางชีวิตคริสเตียนนั้นไม่ง่ายเลย เพราะเป็นการเข้าประตูแคบและเดินทางทางแคบ
แต่ความจริงที่ให้กำลังใจแก่ผู้เชื่ออย่างมากมาย คือ เราไม่จำเป็นต้องเดินเพียงลำพัง
พระเจ้าสัญญาไว้ว่า พระองค์จะส่งทูตของพระองค์ นั่นคือพระคริสต์ มานำหน้าเรา
คุ้มครองเราตามทาง และนำเราให้ไปถึงเป้าหมายอย่างแน่นอน พระคริสต์จะนำเราให้ได้เข้าสู่พระองค์เอง
เพื่อที่เมื่อเราได้อยู่ในพระองค์แล้ว เราก็จะได้พบกับความเพลิดเพลินกับพระเจ้าอย่างไม่หยุดยั้ง
อย่างไรก็ตาม ในคำให้กำลังใจนี้ ก็มีสิ่งที่พระองค์กำชับพวกเราอย่างแข็งขันเช่นกัน
นั่นคือ เราจะต้องเชื่อฟังเอาใจใส่ เชื่อฟัง และไม่ดื้อรั้นกับทูตของพระองค์
เราจะเอาใจใส่ เชื่อฟัง และไม่ดื้อรั้นกับพระคริสต์อย่างไร?
พระคริสต์ คือพระวาทะหรือพระคำของพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์
พระวาทะ (Logos) ทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง
(ยอห์น 1:14)
(ยอห์น 1:14)
คำว่า พระคำ (พระวาทะ
หรือพระวจนะ) มีคำภาษากรีก 2 คำ ได้แก่ Logos (พระคำตามตัวอักษร) และ Rhema (พระคำที่พระเจ้าพูดกับเรา)
ขอบคุณพระเจ้า ที่พระองค์ไม่ได้ให้เพียง Logos แก่เรา นั่นคือ พระคัมภีร์ที่พระองค์ได้ให้ผู้รับใช้ของพระองค์บันทึกคำของพระองค์ไว้เท่านั้น
แต่พระองค์ยังให้ Rhema ซึ่งเป็นคำที่พระเจ้าจะนำเราในสถานการณ์ที่เราเผชิญจริงๆ โดยการสอนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ซึ่งเป็นผู้เขียน
Logos ขึ้นมา
ช่างเยี่ยมยอดจริงๆ ที่เราไม่ต้องคอยนั่งเดาว่าผู้เขียนพระคำคิดอย่างไร
เพราะเรามีผู้เขียนพระคำตัวจริงอยู่ในเรา คอยสอนสิ่งที่พระองค์เขียนให้เราเข้าใจ และช่วยเราในการใช้สิ่งที่พระองค์เขียนนั้นในชีวิตประจำวันของเรา
พระองค์ตรัสตอบว่า
"มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า 'มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้
แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะ (Rhema) ทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า'
"
(มัทธิว 4:4)
(มัทธิว 4:4)
ดังนั้น การเอาใจใส่ เชื่อฟัง และไม่ดื้อรั้นกับพระคริสต์
ก็คือการที่เราเอาใจใส่ เชื่อฟัง และไม่ดื้อรั้นกับพระคำของพระองค์ ด้วยการพึ่งพาการสอนและการนำจากพระวิญญาณของพระองค์
ถ้าหากเราทำเช่นนี้ คงจะรับประกันได้เลยว่า เราจะได้ออกจากถิ่นทุรกันดาร และได้เข้าไปในแผ่นดินแห่งพระสัญญาแน่นอนครับ
3. เราต้องกำจัดตัวเก่าของเรา
เพื่อครอบครองแผ่นดินแห่งพระสัญญา
ชีวิตในพระคริสต์เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์
"เราจะกำหนดเขตแดนของเจ้าไว้ตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงทะเลของคนฟีลิสเตีย
และตั้งแต่ถิ่นทุรกันดารจนจรดแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเราจะมอบผู้อาศัยในแผ่นดินนั้นไว้ในมือของพวกเจ้า
แล้วเจ้าจะขับไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า"
(อพยพ 23:31)
(อพยพ 23:31)
หลายคนอาจสอนว่าแผ่นดินคานาอัน มีความหมายคือสวรรค์
แต่ผมขอเถียงหัวชนฝาว่าไม่ใช่แน่นอนครับ เพราะว่าในแผ่นดินนี้
ยังมีการสู้รบกับศัตรูอยู่ และถ้าอ่านในพระธรรมโยชูวา เราจะเห็นได้ว่าแม้ว่าอิสราเอลจะชนะเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็มีบางครั้งที่พวกเขาพลาดพลั้งเช่นกัน
ดังนั้น การเข้าสู่แผ่นดินดีแห่งนี้ ไม่ใช่การขึ้นสวรรค์ไปอยู่กับพระคริสต์
แต่เป็นประสบการณ์ของเราในชีวิตนี้ เมื่อเราดำรงอยู่ในพระคริสต์ เป็นประสบการณ์ชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะและเต็มไปด้วยสง่าราศี
ดังที่ Max
Lucado เรียกประสบการณ์นี้ว่า
"วันแห่งเกียรติศักดิ์ศรี" (Glory Days)
จากพระคำตอนนี้ เราเห็นได้ว่าแผ่นดินดีที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับอิสราเอล
ห้อมล้อมไปด้วยทะเล แม่น้ำ และถิ่นทุรกันดาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความตายและความแห้งแล้ง
และแผ่นดินดีก็เป็นที่ที่อยู่สูงกว่าบริเวณรอบๆ
นี่คือชีวิตที่ดำรงอยู่ในพระคริสต์ จะเป็นชีวิตที่แตกต่างจากคนที่อยู่นอกพระคริสต์อย่างชัดเจน
เพราะนอกพระคริสต์ มีแต่ความตายและความแห้งแล้ง ตรงกันข้าม
หากเราดำรงอยู่ในพระคริสต์ เราจะพบกับความอุดมสมบูรณ์ และชีวิตของเราจะได้รับการยกชูขึ้นเหนือความตายและความแห้งแล้งฝ่ายวิญญาณ
ดังนั้น ขอให้เราดำรงอยู่ในพระองค์เสมอ อย่าออกไปจากพระองค์เลยนะครับ
ชีวิตธรรมชาติของเราขัดขวางไม่ให้เราเพลิดเพลินกับชีวิตในพระคริสต์
32 ห้ามทำพันธสัญญากับพวกเขา
หรือกับบรรดาพระของพวกเขา
33 ห้ามพวกเขาอาศัยในดินแดนของเจ้า เกรงว่าพวกเขาจะชักจูงให้เจ้าทำบาปต่อเรา เพราะถ้าเจ้าปรนนิบัติพระของพวกเขา การทำเช่นนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเจ้าแน่"
(อพยพ 23:32-33)
33 ห้ามพวกเขาอาศัยในดินแดนของเจ้า เกรงว่าพวกเขาจะชักจูงให้เจ้าทำบาปต่อเรา เพราะถ้าเจ้าปรนนิบัติพระของพวกเขา การทำเช่นนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเจ้าแน่"
(อพยพ 23:32-33)
ในแผ่นดินดีแห่งนี้ อิสราเอลยังต้องสู้รบกับบรรดาผู้อาศัยในดินแดนนี้ทั้ง
7 เผ่า ซึ่งเป็นตัวแทนของชีวิตธรรมชาติของเรา
นี่จึงหมายความว่า การเข้าไปในแผ่นดินดี
หรือการเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ไม่ได้เป็นตอนจบของการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ แต่เรายังคงต้องต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจของเราต่อไป
ศัตรูนั้นไม่ใช่มารหรือโลก เพราะว่าทั้งสองสิ่งนี้ไม่มีอิทธิพลเหนือเราแล้ว
หากแต่เป็นชีวิตธรรมชาติของเรา หรือตัวตนเก่าของเรา ที่ยังคงอยู่กับเราเสมอ และเป็นเครื่องมือของซาตานและโลกในการนำให้เราพลาดจากพระพรที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเรา
คำว่า "ชีวิตธรรมชาติ" ปรากฏในพระธรรม 1 โครินธ์
แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า
เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ
(1 โครินธ์ 2:14)
(1 โครินธ์ 2:14)
"คนทั่วไป" อาจแปลได้ว่า natural man (KJV) หรือ
มนุษย์ธรรมดา (THSV1971) หรือ มนุษย์ตามธรรมชาติ
ซึ่งก็คือชีวิตหรือตัวตนเก่าของเรานั่นเอง
เช่นเดียวกับที่คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนทั้ง 7 เผ่านั้นคอยขัดขวางไม่ให้อิสราเอลได้เพลิดเพลินกับมรดกของเขา
ชีวิตธรรมชาติของเราก็ขัดขวางไม่ให้เราได้เพลิดเพลินกับพระคริสต์
จากคำกำชับของพระเจ้าใน อพยพ 23:32-33 เราเห็นได้ว่า
แม้ว่าชีวิตธรรมชาติของเราอาจจะดูดี ธรรมชาติจริงๆ ของมันคือการทำบาปและการนับถือรูปเคารพ
(สิ่งใดก็ได้ที่เราให้ความสำคัญมากกว่าพระเจ้า) คงจะไม่มีเวลาไหนที่ความชั่วร้ายของชีวิตธรรมชาติของเราจะปรากฏชัดได้เท่ากับเวลาที่เราโกรธ
แม้ยามปกติเราจะเป็นคนดีอย่างไร ในเวลาที่เราโกรธ ชีวิตธรรมชาติของเราก็แผลงฤทธิ์ออกมาอย่างชัดเจน
เรากำจัดชีวิตธรรมชาติของเราได้ด้วยการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
ทำอย่างไรเราจึงจะกำจัดชีวิตธรรมชาติของเราไปได้? มีวิธีเดียว คือ การเติบโตฝ่ายวิญญาณ เพราะชีวิตฝ่ายวิญญาณกับชีวิตธรรมชาติของเราก็ต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งเราเติบเติบโตฝ่ายวิญญาณด้วยการกินอาหารแห่งชีวิต และการดื่มน้ำแห่งชีวิตมากเท่าไหร่
ชีวิตของเราก็ได้รับการเติมด้วยชีวิตของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น และชีวิตธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนังของเราก็จะค่อยๆ
ได้รับการกำจัดออกไป
นี่เป็นเพียงวิธีเดียว ไม่มีทางลัด และเป็นสิ่งที่เราต้องร่วมมือกับพระองค์
เพราะว่าหากไม่มีพระเจ้านำ เราก็ทำไม่ได้
แต่หากเราไม่ตัดสินใจที่จะทำ พระเจ้าก็จะไม่ทำเช่นกัน
ดังนั้น ขอให้เราตัดสินใจในวันนี้ที่จะเดินหน้าต่อไป
ประกาศสงครามและเข้าต่อสู้กับชีวิตธรรมชาติของเรา ด้วยการเติบโตในพระองค์ เพราะยิ่งเราทำได้มากเท่าไหร่ ชีวิตเราก็จะเปี่ยมไปด้วยความเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์กับพระคริสต์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น
อย่าใจร้อนและอย่าประนีประนอมกับชีวิตธรรมชาติของเรา
29 เราจะไม่ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้าในปีเดียว
เกรงว่าแผ่นดินจะรกร้างไป และสัตว์ป่าจะทวีขึ้นต่อสู้กับเจ้า
30 แต่เราจะค่อยๆ ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า จนเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้ครอบครองดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
(อพยพ 23:29-30)
30 แต่เราจะค่อยๆ ไล่พวกเขาไปให้พ้นหน้าเจ้า จนเจ้าทวีจำนวนมากขึ้น แล้วได้ครอบครองดินแดนนั้นเป็นกรรมสิทธิ์
(อพยพ 23:29-30)
สงครามกับชีวิตธรรมชาติของเราไม่ได้เสร็จสิ้นชั่วข้ามคืน
แต่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และกฎเหล็กก็คือ "เราจะมีชัยชนะเหนือชีวิตธรรมชาติของเรา
ได้มากเท่าที่เราเติบโตในพระคริสต์"
ดังนั้น อย่าใจร้อนและอย่าเพิ่งยอมแพ้ไปก่อนครับ
เพียงแค่เราค่อยๆ ต่อสู้ ค่อยๆ เติบโตในพระคริสต์ พึ่งพาพระเจ้าทุกวัน แล้วพระองค์จะนำเราให้มีชัยชนะในทุกการต่อสู้อย่างแน่นอนครับ
และที่สำคัญ อย่าประนีประนอมกับชีวิตธรรมชาติของเราเป็นอันขาดนะครับ
เพราะเมื่อเราเห็นว่าชีวิตธรรมชาติของเรามันช่างแข็งแรงจริงๆ หลายครั้งเราก็อยากจะประนีประนอม
ทำพันธสัญญากับมัน ยอมทำตามเนื้อหนังของเรา อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยนะครับ แต่ขอให้เราต่อสู้ต่อไป พระคุณของพระเจ้ามีเพียงพอเสมอสำหรับชีวิตของเราครับ
แล้วสิ่งที่เราได้รับจะคุ้มค่ากับความเหนื่อยยากของเราแน่นอนครับ
เขียนและเรียบเรียงโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
- The holy word for morning revival: crystallization-study of Exodus, week 23: The Angel of Jehovah for His people to take possenssion of the promised land.
- Life study of Exodus, messages 73-75.
หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง
มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย
หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น
No comments:
Post a Comment