Sunday, 8 November 2015

อพยพ บทเรียน 22: "การนมัสการพระเจ้า"


ตกผลึกความจริงจากพระธรรมอพยพ
บทเรียน 22:
"การนมัสการพระเจ้า"
(อพยพ 20:22-26)

ศึกษาเกี่ยวกับการนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้อง ตามที่พระองค์ได้กำหนดไว้ใน "กฎข้อบังคับเกี่ยวกับแท่นบูชา" รวมถึงศึกษาตัวอย่างของการนมัสการที่ถูกในอพยพ 24:10-11 และที่ผิดในอพยพ 32:1-6 (วัวทองคำ)

22 พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​กับ​โมเสส​ว่า "จง​บอก​ชน​ชาติ​อิส​รา​เอล​ดัง​นี้​ว่าพวก​เจ้า​ได้​เห็น​แล้ว​ว่า เรา​พูด​กับ​พวก​เจ้า​จาก​ท้อง​ฟ้า
23 ห้าม​ทำ​รูป​พระ​ใดๆ ไว้​บูชา​เทียบ​เท่า​กับ​เรา ห้าม​ทำ​รูป​พระ​ด้วย​เงิน​หรือ​ทอง​คำ​สำหรับ​ตัว
24 จง​ใช้​ดิน​ก่อ​แท่น​บูชา​สำหรับ​เรา และ​บน​แท่น​นั้น​จง​ใช้​แกะ​และ​โค​ของ​เจ้า​เป็น​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว และ​เป็น​เครื่อง​ศานติ​บูชา​แก่​เรา และ​เรา​จะ​มา​หา​เจ้า​และ​อวย​พร​เจ้า​ใน​ทุก​แห่ง​ที่​เรา​ให้​ระลึก​ถึง​นาม​ของ​เรา
25 ถ้า​จะ​ก่อ​แท่น​บูชา​ด้วย​ศิลา​สำหรับ​เรา ห้าม​ก่อ​ด้วย​ศิลา​ที่​ตก​แต่ง​แล้ว เพราะ​ถ้า​เจ้า​ใช้​เครื่อง​มือ​ตก​แต่ง​ศิลา​นั้น เจ้า​ก็​ทำ​ให้​ศิลา​นั้น​เป็น​มลทิน
26 และ​ห้าม​ขึ้น​ไป​ยัง​แท่น​บูชา​ของ​เรา​ทาง​บันได เพื่อ​จะ​ไม่​เป็น​ที่​อุจาด​ตา"
(อพยพ 20:22-26)

พระธรรมอพยพสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ครึ่งแรกเป็นเรื่องของการที่พระเจ้าตอบสนองความต้องการของมนุษย์ นั่นคือการที่พระองค์ไถ่มนุษย์ให้หลุดพ้นจากอำนาจของซาตาน โลก และความบาป ส่วนครึ่งหลังเป็นเรื่องของการที่มนุษย์ตอบสนองความต้องการของพระเจ้า พระเจ้าอยากมีที่อยู่อาศัยบนโลกนี้ (พลับพลา) เพื่อพระองค์จะสามารถสำแดงพระสิริของพระองค์เองให้โลกนี้ได้เห็น พลับพลานี้เองเป็นภาพที่เล็งถึงพระวิหาร ซึ่งไม่ใช่วิหารที่เป็นสิ่งก่อสร้าง แต่เป็นวิหารของพระวิญญาณ นั่นคือคริสตจักรนั่นเอง

ในส่วนของครึ่งหลังของพระธรรมอพยพ พระเจ้าให้บัญญัติสิบประการไว้ในบทที่ 20 และหลังจากนั้น ก็มีชุดของกฎข้อบังคับต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนขยายของบัญญัติสิบประการ ดังที่ปรากฏในอพยพบทที่เหลือ รวมถึงบางส่วนของเลวีนิติ กันดารวิถี และเฉลยธรรมบัญญัติ ซึ่งทั้งหมดรวมกันเป็นส่วนของ "ธรรมบัญญัติ" หรือ "กฎหมายของพระเจ้า"
ในตอนท้ายของอพยพบทที่ 20 (อพยพ 20:22-26) พระเจ้าได้กำหนดกฎข้อบังคับเกี่ยวกับแท่นบูชาไว้ ซึ่งเป็นเหมือนส่วนขยายของบัญญัติสิบประการสองข้อแรก นั่นคือ ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ และห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน กฎข้อบังคับนี้เกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้าโดยตรง

การนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการนมัสการคือ "ข่าวประเสริฐนิรันดร์" และเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการประกาศข่าวประเสริฐที่พระเจ้าออกแบบมา นั่นคือเพื่อให้มนุษย์ทั่วโลกหันกลับมานมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ (วิวรณ์ 14:6-7) นอกจากนี้ คำสั่งสุดท้ายในพระคัมภีร์ก็คือ "จงนมัสการพระเจ้าเถิด" (วิวรณ์ 22:9)

6 แล้ว​ข้าพ​เจ้า​เห็น​ทูต​สวรรค์​อีก​องค์​หนึ่ง​เหาะ​ไป​ใน​ท้อง​ฟ้า เพื่อ​ประ​กาศ​ข่าว​ประ​เสริฐ​นิรันดร์​แก่​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​อยู่​บน​แผ่น​ดิน​โลก แก่​ทุก​ประ​ชา​ชาติ ทุก​เผ่า ทุก​ภาษา และ​ทุก​ชน​ชาติ
7 ท่าน​ประ​กาศ​เสียง​ดัง​ว่า "จง​เกรง​กลัว​พระ​เจ้า และ​ถวาย​พระ​เกียรติ​แด่​พระ​องค์ เพราะ​ถึง​เวลา​ที่​พระ​องค์​จะ​ทรง​พิพาก​ษา​แล้ว จง​นมัส​การ​พระ​องค์​ผู้​ทรง​สร้าง​ฟ้า​สวรรค์ แผ่น​ดิน​โลก ทะเล และ​บ่อ​น้ำพุ​ทั้ง​หลาย"
(วิวรณ์ 14:6-7)

8 ข้าพ​เจ้า​คือ​ยอห์น เป็น​ผู้​ที่​ได้​ยิน​และ​ได้​เห็น​เหตุ​การณ์​เหล่า​นี้ และ​เมื่อ​ข้าพ​เจ้า​ได้​ยิน​และ​ได้​เห็น​แล้ว ข้าพ​เจ้า​ก็​ทรุด​ตัว​ลง​นมัส​การ​แทบ​เท้า​ทูต​สวรรค์​ที่​สำ​แดง​สิ่ง​เหล่า​นี้​แก่​ข้าพ​เจ้า
9 แต่​ท่าน​กล่าว​กับ​ข้าพ​เจ้า​ว่า "อย่า​ทำ​แบบ​นี้ เรา​เป็น​ผู้​ร่วม​รับ​ใช้​เช่น​เดียว​กับ​ท่าน​และ​พวก​พี่​น้อง​ของ​ท่าน ซึ่ง​เป็น​พวก​ผู้​เผย​พระ​วจนะ และ​พวก​ที่​ถือ​รัก​ษา​ถ้อย​คำ​ใน​หนัง​สือ​นี้ จง​นมัส​การ​พระ​เจ้า​เถิด" (วิวรณ์ 22:9)

วันนี้ ผมอยากเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความหมายของกฎข้อบังคับเรื่อง "การนมัสการพระเจ้า" ในอพยพ 20:22-26 และตามด้วยตัวอย่างของการนมัสการที่ถูกในอพยพ 24:9-11 และการนมัสการที่ผิดในอพยพ 32:1-6 ครับ


กฎข้อบังคับเรื่องการนมัสการพระเจ้า

1. เราต้องนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

ห้ามทำรูปพระใดๆ ไว้บูชาเทียบเท่ากับเรา ห้ามทำรูปพระด้วยเงินหรือทองคำสำหรับตัว (อพยพ 20:23)

การนมัสการ เป็นการรับรู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าและเราเป็นมนุษย์ เป็นการยอมรับว่าเรามีข้อจำกัดมากมายและพระเจ้าไม่มีขีดจำกัดใดๆ

เนื่องจากมนุษย์ตกอยู่ในบาป เราทุกคนจึงมีแนวโน้มเสมอที่จะนมัสการสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากพระเจ้า และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราเห็นได้ชัดจากประวัติศาสตร์มนุษย์ แท้จริงแล้ว การที่มนุษย์นับถือรูปเคารพหรือสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากพระเจ้า ก็มีความหมายคือการนมัสการซาตานนั่นเอง

ความต้องการของพระเจ้าคือที่จะได้รับการนมัสการจากเรา และความต้องการของซาตานก็คือที่จะได้รับการนมัสการจากเราเช่นกัน ซาตานกลัวว่ามนุษย์จะมานมัสการพระเจ้า เขาอยากจะแย่งชิงการนมัสการของเราไปจากพระเจ้า เขาทนไม่ได้ที่เห็นมนุษย์นมัสการพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เขาถึงพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางไม่ให้มนุษย์ได้รับความหลุดพ้นผ่านทางการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะเมื่อมนุษย์หลุดพ้นโดยพระคุณเพราะความเชื่อนี้แล้ว เขาก็จะนมัสการพระเจ้า และดังนั้น ภารกิจของคริสเตียน ก็คือ การนำคนมาสู่ความหลุดพ้น เพื่อที่เขาจะได้นมัสการพระเจ้า

พี่น้องครับ เรามีสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และเราก็มีสิ่งที่ซาตานต้องการเช่นกัน ทั้งสวรรค์และนรกต่างต่อสู้แย่งชิงการนมัสการจากเรา คำถามที่สำคัญก็คือ วันนี้พี่น้องให้สิ่งที่มีค่านี้แก่ใครครับ? พี่น้องกำลังนมัสการพระเจ้า หรือกำลังนมัสการซาตานผ่านทางการนมัสการรูปเคารพ (ซึ่งหมายถึงสิ่งใดก็ได้ที่เราให้ความสำคัญมากไปกว่าพระเจ้าในชีวิต) อยู่ครับ? ผมอยากขอร้องพี่น้องครับ นมัสการพระเจ้าเถิดครับ พระองค์รักเราจริงๆ อย่าหมางเมินพระองค์และปันใจไปให้กับสิ่งอื่นเลยนะครับ รับรองว่าพี่น้องจะไม่ผิดหวังที่เลือกเช่นนั้น

รากศัพท์ของคำว่า "เทียบเท่า" ในอพยพ 20:23 มีความหมายคือ "พร้อมกับ" ดังนั้น กฎข้อบังคับนี้จึงกำหนดไว้ชัดเจนว่า เราจะต้องนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว เราจะต้องไม่นมัสการสิ่งอื่นได้ไปพร้อมๆ กับพระเจ้า
ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูได้สอนว่า

คน​ที่​มี​ใจ​บริ​สุทธิ์ ก็​เป็น​สุข เพราะ​ว่า​เขา​ทั้ง​หลาย​จะ​ได้​เห็น​พระ​เจ้า
(มัทธิว 5:8)

ความหมายของการมีใจบริสุทธิ์ ก็คือการมีใจเดียว ไม่แบ่งใจไปให้กับคนอื่นหรือสิ่งอื่น

ถ้าผมมีแฟน ผมคงไม่อยากให้แฟนของผมปันใจไปให้กับคนอื่น โดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็นคนไม่ดี และคิดทำร้ายเธอ
เช่นเดียวกันครับ พระเจ้ารักเรามาก และพระองค์ก็อยากให้เรารักพระองค์ตอบเช่นกัน พระองค์อยากให้เรารักพระองค์แบบรักเดียวใจเดียว เพราะพระองค์รู้ดีว่าถ้าหากเราหันไปรักสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์ สิ่งนั้นจะเป็นเครื่องมือของซาตานในการขัดขวางไม่ให้เราได้รับพระพรจากพระองค์ ซาตานไม่เคยหวังดีกับใครเลยครับ ดังนั้น ขอให้เรารักพระองค์แบบรักเดียวใจเดียวกันนะครับ แล้วชีวิตเราจะเต็มไปด้วยพระพระพรจากพระเจ้า และไม่ต้องช้ำใจเพราะโดนซาตานทำร้ายครับ

2. เราต้องนมัสการผ่านทางกางเขนของพระคริสต์เท่านั้น

จงใช้ดินก่อแท่นบูชาสำหรับเรา และบนแท่นนั้นจงใช้แกะและโคของเจ้าเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเป็นเครื่องศานติบูชาแก่เรา และเราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้าในทุกแห่งที่เราให้ระลึกถึงนามของเรา
(อพยพ 20:24)

แท่นบูชาเล็งถึงไม้กางเขน และเครื่องบูชาเล็งถึงเครื่องบูชาที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งสละชีวิตเพื่อเป็นเครื่องเผาบูชาที่ถวายแด่พระเจ้า

เครื่องบูชาหลักๆ ที่กล่าวในพระธรรมเลวีนิติ มีอยู่ 5 ประเภท แต่ในที่นี่มีการกล่าวถึงเพียงแค่เครื่องเผาบูชาทั้งตัว และเครื่องศานติบูชา ซึ่งเป็นการเล็งถึงการสละชีวิตของพระเยซู เพื่อความพึงพอใจของพระเจ้า และเพื่อทำให้เรามีสันติภาพกับพระเจ้า (คืนดีกับพระเจ้า)

การนมัสการของเรา จะต้องมีกางเขนของพระคริสต์เป็นศูนย์กลางเสมอ ถ้าหากไม่มีกางเขน และการตายของพระเยซู เราก็ไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้

ขอบคุณพระเจ้า ปัจจุบันในฐานะผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่ เราสามารถเข้าหาพระเจ้าเพื่อนมัสการพระองค์ได้อย่างอิสรเสรี เพราะเรามีพระเยซูเป็นผู้กลาง นำให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ทุกครั้งที่เรานมัสการ ขอที่เราจะให้กางเขนของพระคริสต์เป็นศูนย์กลางเสมอนะครับ แม้ว่าโลกนี้จะเห็นว่ากางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่เรารู้ดีว่ากางเขนนั่นเอง คือฤทธานุภาพของพระเจ้า

เพราะ​ว่า​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​กำ​ลัง​จะ​พินาศ​ก็​เห็น​ว่า​เรื่อง​กาง​เขน​เป็น​เรื่อง​โง่ แต่​เรา​ที่​กำ​ลัง​จะ​รอด​เห็น​ว่า​เป็น​ฤท​ธา​นุภาพ​ของ​พระ​เจ้า (1 โครินธ์ 1:18)

เมื่อเรานมัสการพระเจ้าผ่านทางกางเขนนั่นเอง เราก็สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้แน่นอน และผลของเครื่องบูชาบนกางเขนทำให้พระเจ้าพอใจ และขณะเดียวกันก็ทำให้เราสุขใจอย่างเหลือล้นด้วย ซึ่งเป็นผลจากความสนิทสนมที่เรามีกับพระเจ้านั่นเองครับ

3. เราจะต้องไม่ทำให้กางเขนเป็นมลทิน

ถ้าจะก่อแท่นบูชาด้วยศิลาสำหรับเรา ห้ามก่อด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าก็ทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน
(อพยพ 20:25)

พระคำตอนนี้สั่งห้ามชัดเจน ไม่ให้ใช้ศิลาที่ตกแต่ง เพราะเมื่อตกแต่งแล้ว ศิลานั้นจะเป็นมลทิน

การตกแต่ง เป็นภาพของการกระทำของมนุษย์ สิ่งที่เขาทำนั้นอาจเป็นสิ่งที่โลกเห็นว่าดีเยี่ยม เต็มเปี่ยมไปด้วยปัญญา หรือเต็มไปด้วยความปรารถนาดี แต่ถ้าสิ่งนั้นมีแหล่งกำเนิดมาจากมนุษย์ มาจากแผนการของมนุษย์ สิ่งนั้นถือว่าเป็นมลทินในสายตาของพระเจ้าเสมอ

แน่นอนว่าการพยายามคิดค้นรูปแบบการนมัสการใหม่ๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ถ้านั่นเป็นการใช้ปัญญาของมนุษย์เพื่อเพิ่มเติมสิ่งอื่นใดเข้าไปกับกางเขนของพระคริสต์ และทำให้คนยึดติดที่สิ่งที่เพิ่มเติมมานั้นจนหลงลืมกางเขนนั้นไป การเพิ่มเติมนั้นคงจะไม่ใช่สิ่งดี แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามองว่าเป็นมลทิน

พระเจ้าต้องการให้เราเข้ามาหาพระองค์ด้วยสิ่งที่พระองค์ให้ นั่นคือชีวิตของเรา โดยผ่านทางกางเขนของพระคริสต์ พระองค์ไม่ต้องการให้เราปรุงแต่งหรือเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปกับกางเขนนั้น เพราะกางเขนของพระคริสต์เพียงพอสำหรับทุกสิ่ง

ขอให้เราเข้ามานมัสการพระองค์ด้วยใจที่จดจ่อกับพระเจ้า ผ่านทางกางเขนกันนะครับ ถ้าเป็นเช่นนั้น จะไม่มีสิ่งอื่นใดเป็นอุปสรรคต่อการนมัสการของเราได้เลย

4. เราจะต้องดำรงชีวิตอยู่ในพระคริสต์

และห้ามขึ้นไปยังแท่นบูชาของเราทางบันได เพื่อจะไม่เป็นที่อุจาดตา 
(อพยพ 20:26)

พระเจ้าสั่งไม่ให้คนทำบันไดปีนขึ้นไปแท่นบูชา เพราะจะทำให้เขาโป๊

เมื่อมนุษย์ล้มลงในบาป เข้าก็เริ่มรู้สึกว่าเขาเปลือยเปล่า และรู้สึกอาย พวกเขาพยายามหาสิ่งปกปิด โดยใช้ใบไม้ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ในที่สุดพระเจ้าก็ให้เขาปกคลุมกายด้วยหนังสัตว์ และสัตว์ตัวนั้นเอง เป็นสิ่งที่เล็งถึงพระคริสต์ผู้เป็นเสื้อผ้าปกคลุมร่างกายของเรา

พระ​ยาห์​เวห์​พระ​เจ้า​ทรง​ทำ​เสื้อ​ด้วย​หนัง​สัตว์​ให้​อาดัม​และ​ภรรยา​ของ​เขา​สวม​ปก​ปิด​กาย
(ปฐมกาล 3:21)

พันธสัญญาใหม่เน้นย้ำให้เราปกคลุมกายด้วยพระคริสต์

แต่​ท่าน​ทั้ง​หลาย​จง​ประ​ดับ​กาย​ด้วย​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า และ​อย่า​จัด​เตรียม​อะไร​ไว้​เพื่อ​สนอง​ตัณ​หา​ของ​เนื้อ​หนัง (โรม 13:14)

เพราะ​ว่า​พวก​ท่าน​ทุก​คน​ที่​ได้​รับ​บัพ​ติศ​มา​เข้า​ใน​พระ​คริสต์​แล้ว ก็​ได้​สวม​ชีวิต​ของ​พระ​คริสต์​ด้วย (กาลาเทีย 3:27)

ดังนั้นพระธรรมอพยพตอนนี้ จึงเป็นการเน้นย้ำให้เราดำรงอยู่ในพระคริสต์เสมอ และระมัดระวัง อย่าโป๊ นั่นคือ อย่าให้เนื้อหนังที่มีธรรมชาติของความบาปในตัวเราปรากฏตัวออกมา เพราะเมื่อชีวิตเราพ่ายแพ้การทดลองและตกอยู่ในความบาป เราจะไม่สามารถเข้ามานมัสการพระเจ้าด้วยใจแห่งความชื่นชมยินดีได้เลยครับ

ขอพระเจ้าช่วยที่เราจะดำรงชีวิตอยู่ในพระคริสต์เสมอ และโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอที่เราจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เพื่อเราจะสามารถนมัสการพระเจ้าได้แบบสุดๆ ไปเลยครับ


บทเรียนจากการนมัสการใน อพยพ 24:9-11

9 แล้วโมเสสกับอาโรน นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 70 คนก็ขึ้นไป
10 พวกเขาได้เห็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และพื้นที่รองพระบาทเป็นเหมือนนิลสีคราม สุกใสเหมือนท้องฟ้าทีเดียว
11 พระองค์ไม่ได้ทรงลงโทษบรรดาผู้นำชนชาติอิสราเอล พวกเขาได้เห็นพระเจ้าและได้กินและดื่ม (อพยพ 24:9-11)

หลังจากที่มีการประกาศใช้ธรรมบัญญัติอย่างเป็นทางการในตอนต้นของอพยพบทที่ 24 แล้ว โมเสส อาโรน นาดับ อาบีฮู และผู้ใหญ่ของอิสราเอล 70 คนก็ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบนภูเขา และพวกเขาก็ได้มีประสบการณ์พิเศษ คือได้เห็น​พระ​เจ้า​และพื้น​ที่​รอง​เท้าของ​พระ​องค์ ซึ่ง​สุกใส​เหมือน​แก้ว​ไพทูรย์ นับเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดจริงๆ

สิ่งที่พวกเขาทำต่อไปนั้นน่าสนใจมาก พวกเขามองดูพระเจ้า กิน และดื่ม สิ่งที่พวกเขาทำเป็นแบบอย่างของการนมัสการที่แท้จริง

ระบบของศาสนาทำให้เรามองว่าการนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราต้องทำด้วยความขึงขัง ต้องทำหน้าจริงจังและเคร่งขรึมตลอดเวลา และต้องทำทุกสิ่งผ่านทางรูปแบบพิธีกรรมต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่ภาพที่เราเห็นเลยจากพระคัมภีร์ตอนนี้

พระธรรมตอนนี้ แสดงให้เราเห็นว่าการนมัสการ คือการที่เราเพ่งมองดูพระเจ้าพระบิดา และเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์กับพระองค์ด้วยการกินพระคริสต์ผู้เป็นอาหารแท้จากสวรรค์ และดื่มพระวิญญาณผู้เป็นน้ำแห่งชีวิต

เมื่อเราพิจารณาจาก ยอห์นบทที่ 4 เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า การนมัสการมีความเชื่อมโยงกับการดื่มน้ำแห่งชีวิตที่พระเยซูให้อย่างชัดเจน เมื่อเราดื่มน้ำแห่งชีวิต ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ น้ำนั้นจะทำให้ชีวิตของเราเต็มล้นไปด้วยความชื่นชมยินดีและความเพลิดเพลิน ความเพลิดเพลินที่เกิดขึ้นนี้เอง จะไหลล้นออกมาเป็นการนมัสการพระเจ้า

พระ​เยซู​ตรัส​ตอบ​ว่า "ทุก​คน​ที่​ดื่ม​น้ำ​นี้​จะ​กระ​หาย​อีก 14 แต่​คน​ที่​ดื่ม​น้ำ​ที่​เรา​จะ​ให้​กับ​เขา​นั้น จะ​ไม่​มี​วัน​กระ​หาย​อีก​เลย น้ำ​ที่​เรา​จะ​ให้​เขา​นั้น​จะ​กลาย​เป็น​บ่อ​น้ำพุ​ใน​ตัว​เขา​พลุ่ง​ขึ้น​ถึง​ชีวิต​นิรันดร์"
(ยอห์น 4:13-14)

"พระ​เจ้า​เป็น​พระ​วิญ​ญาณ และ​คน​ที่​นมัส​การ​พระ​องค์​จะ​ต้อง​นมัส​การ​ด้วย​จิต​วิญ​ญาณ​และ​ความ​จริง"
(ยอห์น 4:24)

พระธรรมยอห์นตอนนี้ช่างล้ำค่าจริงๆ ครับ เพราะเป็นการยืนยันว่า การนมัสการพระเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องของพิธีกรรมใดๆ หากแต่เป็นการนมัสการพระเจ้าพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง นั่นคือ เราจะนมัสการพระบิดาได้ ด้วยพระวิญญาณที่อยู่ในจิตวิญญาณของเรา ผ่านทางพระบุตร ผู้ซึ่งเป็นความจริงหรือเป็นความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์ทุกประการที่ปรากฏในพระคัมภีร์เดิม รวมถึง เครื่องบูชา อาหารแห่งชีวิต ฯลฯ

วันนี้ขอให้เรามานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง โดยการเพ่งมองดูพระเจ้า และกิน และดื่มกันนะครับ


บทเรียนจากการนมัสการในอพยพ 32

1 เมื่อ​ประ​ชา​ชน​เห็น​โม​เสส​ล่า​ช้า​อยู่ ไม่​ลง​มา​จาก​ภูเขา จึง​พา​กัน​มา​หา​อา​โรน กล่าว​ว่า “จง​ลุก​ขึ้น​สร้าง​พระ​ให้​เรา ซึ่ง​จะ​นำ​หน้า​เรา เพราะ​ว่า​โม​เสส​คน​นี้​ที่​ได้​นำ​เรา​ออก​มา​จาก​แผ่น​ดิน​อียิปต์ เรา​ไม่​ทราบ​ว่า​เขา​เป็น​อะ​ไร​ไป​แล้ว”
2 อา​โรน​จึง​กล่าว​กับ​พวก​เขา​ว่า "จง​ปลด​ตุ้ม​หู​ทอง​จาก​หู​ภรรยา​และ​หู​บุตร​ชาย​หญิง​ของ​เจ้า​ทั้ง​หลาย แล้ว​นำ​มา​ให้​เรา​เถิด"
3 ประ​ชา​ชน​ทั้ง​หมดจึง​ปลด​ตุ้ม​หู​ทอง​จาก​หู​ของ​ตน​มา​มอบ​ให้​อา​โรน
4 เมื่อ​อา​โรน​ได้​ทอง​คำ​จาก​พวก​เขา​แล้ว จึง​ใช้​เครื่อง​มือ​หล่อ​ทอง​คำ​เป็น​รูป​โค​หนุ่มแล้ว​เขา​ทั้ง​หลาย​ประ​กาศ​ว่า "โอ อิส​รา​เอล สิ่ง​เหล่า​นี้​แหละ​เป็น​พระ​ของ​เจ้า ซึ่ง​นำ​เจ้า​ออก​จาก​แผ่น​ดิน​อียิปต์"
5 เมื่อ​อา​โรน​เห็น​ดัง​นั้น​แล้ว จึง​สร้าง​แท่น​บูชา​ไว้ ตรง​หน้า​รูป​โค​นั้น แล้ว​อา​โรน​ประ​กาศ​ว่า "พรุ่ง​นี้​จะ​เป็น​วัน​เทศ​กาล​เลี้ยง​ถวาย​เกียรติ​พระ​ยาห์​เวห์"
6 รุ่ง​ขึ้น​พวก​เขา​ก็​ลุก​ขึ้น​แต่​เช้า​ถวาย​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว และ​นำ​เครื่อง​ศานติ​บูชา​มา ประ​ชา​ชน​ก็​นั่ง​ลง กิน​และ​ดื่ม แล้ว​ก็​ลุก​ขึ้น​ทำ​สิ่ง​ที่​น่า​บัดสี​ต่อ​กัน
(อพยพ 32:1-6)

โมเสสขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นเวลานาน คนอิสราเอลก็รู้สึกวุ่นวายใจว่าทำไมโมเสสหายไปนาน และในที่สุด อาโรนก็สร้างรูปปั้นวัวทองคำขึ้นมา และทำการนมัสการรูปปั้นวัวทองคำนั้น ซึ่งทองที่เขาใช้สร้างวัว น่าจะเป็นสิ่งที่เขาเก็บไว้ใช้ในการสร้างพลับพลาของพระเจ้ามากกว่า

ถ้าหากเรามองว่าโมเสสเป็นภาพของพระเยซู เราก็จะเห็นได้ว่าเราอยู่ในสภาพเดียวกับชาวอิสราเอล พระเยซูกลับขึ้นไปสวรรค์ ไปอยู่ด้านขวาของพระเจ้าพระบิดา และอธิษฐานเพื่อเราอยู่ เราอาจมองว่าพระองค์ไปนานจัง ไม่กลับมาเสียที ท่าทีของเราในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างไรครับ? เราจะยังคงเชื่อวางใจในพระองค์ หรือว่าเราว้าวุ่นใจ และหันมานมัสการสิ่งอื่นใดที่ดีน้อยกว่าพระองค์อย่างเทียบกันไม่ติดเลยครับ? อย่าทำผิดเหมือนกับคนอิสราเอลในพระคำตอนนี้เลยนะครับ ขอให้เราเชื่อวางใจพระองค์ในทุกโมงยาม พระองค์อาจกลับมาช้า แต่พระองค์จะกลับมารับเราไปอยู่กับพระองค์แน่ๆ ครับ

ที่น่าสนใจในพระคำตอนนี้ คือ การนมัสการของเขามีการกล่าวอ้างพระนามพระยาเวห์ และรูปแบบพิธีกรรมก็เหมือนกับที่พระเจ้ากำหนดไว้สำหรับการนมัสการพระองค์เลย เช่น มีการถวายเครื่องบูชาเหมือนกัน มีการกินและดื่มเหมือนกัน ต่างกันเพียงอย่างเดียว คือ สิ่งที่เขานมัสการไม่ใช่พระเจ้า

การนมัสการโคทองคำนี้ อาจจะแตกต่างจากการกราบไว้รูปเคารพที่เราพบได้ทั่วไปในบ้านเราครับ เพราะว่าอิสราเอลเขาคิดว่าเขานมัสการพระเจ้าอยู่ เขาไม่ได้คิดว่าวัวตัวนั้นเป็นพระเจ้า แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของพระเจ้าเท่านั้น เขาหลอกตัวเองว่าเขานมัสการพระยาเวห์ และสิ่งที่เขาทำก็ดูเหมือนนมัสการพระยาห์เวห์อยู่ แต่ความเป็นจริง เขาไม่ได้นมัสการพระยาห์เวห์เลยแม้แต่น้อย เขากำลังนมัสการความสนุกสนานของตัวเองอยู่ ดังจะเห็นได้ว่าพวกเขาเล่นกันสนุกสนานมาก และเลยเถิดไปจนถึงการทำสิ่งที่น่าบัดสีต่อกันด้วย

พี่น้องครับ เวลาเราไปนมัสการทุกวันอาทิตย์ เรากำลังนมัสการอะไรอยู่ครับ? ภายนอก เราอาจดูเหมือนว่าเรากำลังนมัสการพระเจ้าอยู่ เพราะเราร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เราพูดและเรียนรู้เรื่องราวของพระเจ้า แต่เป้าหมายของการนมัสการของเราอยู่ที่ไหน? อยู่ที่พระเจ้า หรืออยู่ที่สิ่งอื่นใดครับ? ขณะที่เรานมัสการ เราให้พระเจ้าเป็นเป้าหมายของการนมัสการของเรา หรือว่าเรากำลังแสวงหาความสนุกสนานหรือทำเพื่อตัวเราเองครับ?

ขอพระเจ้าช่วยให้เราเรียนรู้จากความผิดของคนอิสราเอลในพระธรรมตอนนี้ และจะระมัดระวังเสมอทุกครั้งที่เรานมัสการ เพื่อที่เราจะให้พระองค์เป็นเป้าหมายเดียวของการนมัสการเสมอครับ


เขียนและเรียบเรียงโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
โครงร่างเนื้อหา ประยุกต์จากหนังสือของ Living Stream Ministry
  • The holy word for morning revival: crystallization-study of Exodus, week 22: The worship of God.
  • Life study of Exodus, message 66-67, 173-174.

หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น
  

No comments:

Post a Comment