ตกผลึกความจริงจากพระธรรมอพยพ
บทเรียน 22:
บทเรียน 22:
"การนมัสการพระเจ้า"
(อพยพ 20:22-26)
(อพยพ 20:22-26)
ศึกษาเกี่ยวกับการนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้อง
ตามที่พระองค์ได้กำหนดไว้ใน "กฎข้อบังคับเกี่ยวกับแท่นบูชา"
รวมถึงศึกษาตัวอย่างของการนมัสการที่ถูกในอพยพ 24:10-11 และที่ผิดในอพยพ
32:1-6 (วัวทองคำ)
22 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า
"จงบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พวกเจ้าได้เห็นแล้วว่า เราพูดกับพวกเจ้าจากท้องฟ้า
23 ห้ามทำรูปพระใดๆ ไว้บูชาเทียบเท่ากับเรา ห้ามทำรูปพระด้วยเงินหรือทองคำสำหรับตัว
24 จงใช้ดินก่อแท่นบูชาสำหรับเรา และบนแท่นนั้นจงใช้แกะและโคของเจ้าเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเป็นเครื่องศานติบูชาแก่เรา และเราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้าในทุกแห่งที่เราให้ระลึกถึงนามของเรา
25 ถ้าจะก่อแท่นบูชาด้วยศิลาสำหรับเรา ห้ามก่อด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าก็ทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน
26 และห้ามขึ้นไปยังแท่นบูชาของเราทางบันได เพื่อจะไม่เป็นที่อุจาดตา"
(อพยพ 20:22-26)
23 ห้ามทำรูปพระใดๆ ไว้บูชาเทียบเท่ากับเรา ห้ามทำรูปพระด้วยเงินหรือทองคำสำหรับตัว
24 จงใช้ดินก่อแท่นบูชาสำหรับเรา และบนแท่นนั้นจงใช้แกะและโคของเจ้าเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเป็นเครื่องศานติบูชาแก่เรา และเราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้าในทุกแห่งที่เราให้ระลึกถึงนามของเรา
25 ถ้าจะก่อแท่นบูชาด้วยศิลาสำหรับเรา ห้ามก่อด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าก็ทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน
26 และห้ามขึ้นไปยังแท่นบูชาของเราทางบันได เพื่อจะไม่เป็นที่อุจาดตา"
(อพยพ 20:22-26)
พระธรรมอพยพสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ ครึ่งแรกเป็นเรื่องของการที่พระเจ้าตอบสนองความต้องการของมนุษย์ นั่นคือการที่พระองค์ไถ่มนุษย์ให้หลุดพ้นจากอำนาจของซาตาน
โลก และความบาป ส่วนครึ่งหลังเป็นเรื่องของการที่มนุษย์ตอบสนองความต้องการของพระเจ้า
พระเจ้าอยากมีที่อยู่อาศัยบนโลกนี้ (พลับพลา) เพื่อพระองค์จะสามารถสำแดงพระสิริของพระองค์เองให้โลกนี้ได้เห็น
พลับพลานี้เองเป็นภาพที่เล็งถึงพระวิหาร ซึ่งไม่ใช่วิหารที่เป็นสิ่งก่อสร้าง
แต่เป็นวิหารของพระวิญญาณ นั่นคือคริสตจักรนั่นเอง
ในส่วนของครึ่งหลังของพระธรรมอพยพ พระเจ้าให้บัญญัติสิบประการไว้ในบทที่
20 และหลังจากนั้น ก็มีชุดของกฎข้อบังคับต่างๆ
ซึ่งเป็นส่วนขยายของบัญญัติสิบประการ ดังที่ปรากฏในอพยพบทที่เหลือ
รวมถึงบางส่วนของเลวีนิติ กันดารวิถี และเฉลยธรรมบัญญัติ
ซึ่งทั้งหมดรวมกันเป็นส่วนของ "ธรรมบัญญัติ" หรือ "กฎหมายของพระเจ้า"
ในตอนท้ายของอพยพบทที่ 20 (อพยพ 20:22-26)
พระเจ้าได้กำหนดกฎข้อบังคับเกี่ยวกับแท่นบูชาไว้ ซึ่งเป็นเหมือนส่วนขยายของบัญญัติสิบประการสองข้อแรก
นั่นคือ ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์
และห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน กฎข้อบังคับนี้เกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้าโดยตรง
การนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะการนมัสการคือ
"ข่าวประเสริฐนิรันดร์" และเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการประกาศข่าวประเสริฐที่พระเจ้าออกแบบมา
นั่นคือเพื่อให้มนุษย์ทั่วโลกหันกลับมานมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ (วิวรณ์ 14:6-7)
นอกจากนี้ คำสั่งสุดท้ายในพระคัมภีร์ก็คือ "จงนมัสการพระเจ้าเถิด"
(วิวรณ์ 22:9)
6 แล้วข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า
เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก
แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ
7 ท่านประกาศเสียงดังว่า "จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว จงนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย"
(วิวรณ์ 14:6-7)
7 ท่านประกาศเสียงดังว่า "จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว จงนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย"
(วิวรณ์ 14:6-7)
8
ข้าพเจ้าคือยอห์น เป็นผู้ที่ได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ และเมื่อข้าพเจ้าได้ยินและได้เห็นแล้ว
ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงนมัสการแทบเท้าทูตสวรรค์ที่สำแดงสิ่งเหล่านี้แก่ข้าพเจ้า
9 แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า "อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพวกพี่น้องของท่าน ซึ่งเป็นพวกผู้เผยพระวจนะ และพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด" (วิวรณ์ 22:9)
9 แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า "อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพวกพี่น้องของท่าน ซึ่งเป็นพวกผู้เผยพระวจนะ และพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงนมัสการพระเจ้าเถิด" (วิวรณ์ 22:9)
วันนี้ ผมอยากเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความหมายของกฎข้อบังคับเรื่อง
"การนมัสการพระเจ้า" ในอพยพ 20:22-26 และตามด้วยตัวอย่างของการนมัสการที่ถูกในอพยพ
24:9-11 และการนมัสการที่ผิดในอพยพ 32:1-6 ครับ
กฎข้อบังคับเรื่องการนมัสการพระเจ้า
1. เราต้องนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
ห้ามทำรูปพระใดๆ
ไว้บูชาเทียบเท่ากับเรา ห้ามทำรูปพระด้วยเงินหรือทองคำสำหรับตัว (อพยพ 20:23)
การนมัสการ เป็นการรับรู้ว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าและเราเป็นมนุษย์
เป็นการยอมรับว่าเรามีข้อจำกัดมากมายและพระเจ้าไม่มีขีดจำกัดใดๆ
เนื่องจากมนุษย์ตกอยู่ในบาป เราทุกคนจึงมีแนวโน้มเสมอที่จะนมัสการสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากพระเจ้า
และนี่ก็เป็นสิ่งที่เราเห็นได้ชัดจากประวัติศาสตร์มนุษย์ แท้จริงแล้ว การที่มนุษย์นับถือรูปเคารพหรือสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากพระเจ้า
ก็มีความหมายคือการนมัสการซาตานนั่นเอง
ความต้องการของพระเจ้าคือที่จะได้รับการนมัสการจากเรา
และความต้องการของซาตานก็คือที่จะได้รับการนมัสการจากเราเช่นกัน ซาตานกลัวว่ามนุษย์จะมานมัสการพระเจ้า
เขาอยากจะแย่งชิงการนมัสการของเราไปจากพระเจ้า เขาทนไม่ได้ที่เห็นมนุษย์นมัสการพระเจ้า
ด้วยเหตุนี้ เขาถึงพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางไม่ให้มนุษย์ได้รับความหลุดพ้นผ่านทางการเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์
เพราะเมื่อมนุษย์หลุดพ้นโดยพระคุณเพราะความเชื่อนี้แล้ว เขาก็จะนมัสการพระเจ้า
และดังนั้น ภารกิจของคริสเตียน ก็คือ การนำคนมาสู่ความหลุดพ้น
เพื่อที่เขาจะได้นมัสการพระเจ้า
พี่น้องครับ เรามีสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และเราก็มีสิ่งที่ซาตานต้องการเช่นกัน
ทั้งสวรรค์และนรกต่างต่อสู้แย่งชิงการนมัสการจากเรา คำถามที่สำคัญก็คือ วันนี้พี่น้องให้สิ่งที่มีค่านี้แก่ใครครับ? พี่น้องกำลังนมัสการพระเจ้า หรือกำลังนมัสการซาตานผ่านทางการนมัสการรูปเคารพ (ซึ่งหมายถึงสิ่งใดก็ได้ที่เราให้ความสำคัญมากไปกว่าพระเจ้าในชีวิต)
อยู่ครับ? ผมอยากขอร้องพี่น้องครับ
นมัสการพระเจ้าเถิดครับ พระองค์รักเราจริงๆ อย่าหมางเมินพระองค์และปันใจไปให้กับสิ่งอื่นเลยนะครับ
รับรองว่าพี่น้องจะไม่ผิดหวังที่เลือกเช่นนั้น
รากศัพท์ของคำว่า "เทียบเท่า" ในอพยพ 20:23 มีความหมายคือ "พร้อมกับ" ดังนั้น กฎข้อบังคับนี้จึงกำหนดไว้ชัดเจนว่า เราจะต้องนมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
เราจะต้องไม่นมัสการสิ่งอื่นได้ไปพร้อมๆ กับพระเจ้า
ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูได้สอนว่า
คนที่มีใจบริสุทธิ์
ก็เป็นสุข เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้เห็นพระเจ้า
(มัทธิว 5:8)
(มัทธิว 5:8)
ความหมายของการมีใจบริสุทธิ์ ก็คือการมีใจเดียว ไม่แบ่งใจไปให้กับคนอื่นหรือสิ่งอื่น
ถ้าผมมีแฟน ผมคงไม่อยากให้แฟนของผมปันใจไปให้กับคนอื่น
โดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็นคนไม่ดี และคิดทำร้ายเธอ
เช่นเดียวกันครับ พระเจ้ารักเรามาก และพระองค์ก็อยากให้เรารักพระองค์ตอบเช่นกัน
พระองค์อยากให้เรารักพระองค์แบบรักเดียวใจเดียว เพราะพระองค์รู้ดีว่าถ้าหากเราหันไปรักสิ่งอื่นใดนอกจากพระองค์
สิ่งนั้นจะเป็นเครื่องมือของซาตานในการขัดขวางไม่ให้เราได้รับพระพรจากพระองค์ ซาตานไม่เคยหวังดีกับใครเลยครับ
ดังนั้น
ขอให้เรารักพระองค์แบบรักเดียวใจเดียวกันนะครับ แล้วชีวิตเราจะเต็มไปด้วยพระพระพรจากพระเจ้า
และไม่ต้องช้ำใจเพราะโดนซาตานทำร้ายครับ
2. เราต้องนมัสการผ่านทางกางเขนของพระคริสต์เท่านั้น
จงใช้ดินก่อแท่นบูชาสำหรับเรา
และบนแท่นนั้นจงใช้แกะและโคของเจ้าเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และเป็นเครื่องศานติบูชาแก่เรา
และเราจะมาหาเจ้าและอวยพรเจ้าในทุกแห่งที่เราให้ระลึกถึงนามของเรา
(อพยพ 20:24)
(อพยพ 20:24)
แท่นบูชาเล็งถึงไม้กางเขน
และเครื่องบูชาเล็งถึงเครื่องบูชาที่สมบูรณ์แบบ นั่นคือองค์พระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งสละชีวิตเพื่อเป็นเครื่องเผาบูชาที่ถวายแด่พระเจ้า
เครื่องบูชาหลักๆ ที่กล่าวในพระธรรมเลวีนิติ มีอยู่ 5 ประเภท
แต่ในที่นี่มีการกล่าวถึงเพียงแค่เครื่องเผาบูชาทั้งตัว
และเครื่องศานติบูชา ซึ่งเป็นการเล็งถึงการสละชีวิตของพระเยซู เพื่อความพึงพอใจของพระเจ้า
และเพื่อทำให้เรามีสันติภาพกับพระเจ้า (คืนดีกับพระเจ้า)
การนมัสการของเรา จะต้องมีกางเขนของพระคริสต์เป็นศูนย์กลางเสมอ
ถ้าหากไม่มีกางเขน และการตายของพระเยซู เราก็ไม่สามารถเข้าหาพระเจ้าได้
ขอบคุณพระเจ้า ปัจจุบันในฐานะผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่
เราสามารถเข้าหาพระเจ้าเพื่อนมัสการพระองค์ได้อย่างอิสรเสรี เพราะเรามีพระเยซูเป็นผู้กลาง
นำให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ทุกครั้งที่เรานมัสการ ขอที่เราจะให้กางเขนของพระคริสต์เป็นศูนย์กลางเสมอนะครับ
แม้ว่าโลกนี้จะเห็นว่ากางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่เรารู้ดีว่ากางเขนนั่นเอง คือฤทธานุภาพของพระเจ้า
เพราะว่าคนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่
แต่เราที่กำลังจะรอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า (1 โครินธ์
1:18)
เมื่อเรานมัสการพระเจ้าผ่านทางกางเขนนั่นเอง
เราก็สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้แน่นอน และผลของเครื่องบูชาบนกางเขนทำให้พระเจ้าพอใจ และขณะเดียวกันก็ทำให้เราสุขใจอย่างเหลือล้นด้วย
ซึ่งเป็นผลจากความสนิทสนมที่เรามีกับพระเจ้านั่นเองครับ
3. เราจะต้องไม่ทำให้กางเขนเป็นมลทิน
ถ้าจะก่อแท่นบูชาด้วยศิลาสำหรับเรา
ห้ามก่อด้วยศิลาที่ตกแต่งแล้ว เพราะถ้าเจ้าใช้เครื่องมือตกแต่งศิลานั้น เจ้าก็ทำให้ศิลานั้นเป็นมลทิน
(อพยพ 20:25)
(อพยพ 20:25)
พระคำตอนนี้สั่งห้ามชัดเจน ไม่ให้ใช้ศิลาที่ตกแต่ง
เพราะเมื่อตกแต่งแล้ว ศิลานั้นจะเป็นมลทิน
การตกแต่ง เป็นภาพของการกระทำของมนุษย์ สิ่งที่เขาทำนั้นอาจเป็นสิ่งที่โลกเห็นว่าดีเยี่ยม
เต็มเปี่ยมไปด้วยปัญญา หรือเต็มไปด้วยความปรารถนาดี แต่ถ้าสิ่งนั้นมีแหล่งกำเนิดมาจากมนุษย์
มาจากแผนการของมนุษย์ สิ่งนั้นถือว่าเป็นมลทินในสายตาของพระเจ้าเสมอ
แน่นอนว่าการพยายามคิดค้นรูปแบบการนมัสการใหม่ๆ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
แต่ถ้านั่นเป็นการใช้ปัญญาของมนุษย์เพื่อเพิ่มเติมสิ่งอื่นใดเข้าไปกับกางเขนของพระคริสต์
และทำให้คนยึดติดที่สิ่งที่เพิ่มเติมมานั้นจนหลงลืมกางเขนนั้นไป การเพิ่มเติมนั้นคงจะไม่ใช่สิ่งดี
แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามองว่าเป็นมลทิน
พระเจ้าต้องการให้เราเข้ามาหาพระองค์ด้วยสิ่งที่พระองค์ให้
นั่นคือชีวิตของเรา โดยผ่านทางกางเขนของพระคริสต์ พระองค์ไม่ต้องการให้เราปรุงแต่งหรือเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปกับกางเขนนั้น
เพราะกางเขนของพระคริสต์เพียงพอสำหรับทุกสิ่ง
ขอให้เราเข้ามานมัสการพระองค์ด้วยใจที่จดจ่อกับพระเจ้า
ผ่านทางกางเขนกันนะครับ ถ้าเป็นเช่นนั้น จะไม่มีสิ่งอื่นใดเป็นอุปสรรคต่อการนมัสการของเราได้เลย
4. เราจะต้องดำรงชีวิตอยู่ในพระคริสต์
และห้ามขึ้นไปยังแท่นบูชาของเราทางบันได
เพื่อจะไม่เป็นที่อุจาดตา
(อพยพ 20:26)
(อพยพ 20:26)
พระเจ้าสั่งไม่ให้คนทำบันไดปีนขึ้นไปแท่นบูชา เพราะจะทำให้เขาโป๊
เมื่อมนุษย์ล้มลงในบาป เข้าก็เริ่มรู้สึกว่าเขาเปลือยเปล่า
และรู้สึกอาย พวกเขาพยายามหาสิ่งปกปิด โดยใช้ใบไม้ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ในที่สุดพระเจ้าก็ให้เขาปกคลุมกายด้วยหนังสัตว์
และสัตว์ตัวนั้นเอง เป็นสิ่งที่เล็งถึงพระคริสต์ผู้เป็นเสื้อผ้าปกคลุมร่างกายของเรา
พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย
(ปฐมกาล 3:21)
(ปฐมกาล 3:21)
พันธสัญญาใหม่เน้นย้ำให้เราปกคลุมกายด้วยพระคริสต์
แต่ท่านทั้งหลายจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า
และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้เพื่อสนองตัณหาของเนื้อหนัง (โรม 13:14)
เพราะว่าพวกท่านทุกคนที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระคริสต์แล้ว
ก็ได้สวมชีวิตของพระคริสต์ด้วย (กาลาเทีย 3:27)
ดังนั้นพระธรรมอพยพตอนนี้ จึงเป็นการเน้นย้ำให้เราดำรงอยู่ในพระคริสต์เสมอ
และระมัดระวัง อย่าโป๊ นั่นคือ
อย่าให้เนื้อหนังที่มีธรรมชาติของความบาปในตัวเราปรากฏตัวออกมา เพราะเมื่อชีวิตเราพ่ายแพ้การทดลองและตกอยู่ในความบาป
เราจะไม่สามารถเข้ามานมัสการพระเจ้าด้วยใจแห่งความชื่นชมยินดีได้เลยครับ
ขอพระเจ้าช่วยที่เราจะดำรงชีวิตอยู่ในพระคริสต์เสมอ
และโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอที่เราจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เพื่อเราจะสามารถนมัสการพระเจ้าได้แบบสุดๆ
ไปเลยครับ
บทเรียนจากการนมัสการใน อพยพ 24:9-11
9 แล้วโมเสสกับอาโรน
นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 70 คนก็ขึ้นไป
10 พวกเขาได้เห็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และพื้นที่รองพระบาทเป็นเหมือนนิลสีคราม สุกใสเหมือนท้องฟ้าทีเดียว
11 พระองค์ไม่ได้ทรงลงโทษบรรดาผู้นำชนชาติอิสราเอล พวกเขาได้เห็นพระเจ้าและได้กินและดื่ม (อพยพ 24:9-11)
10 พวกเขาได้เห็นพระเจ้าแห่งอิสราเอล และพื้นที่รองพระบาทเป็นเหมือนนิลสีคราม สุกใสเหมือนท้องฟ้าทีเดียว
11 พระองค์ไม่ได้ทรงลงโทษบรรดาผู้นำชนชาติอิสราเอล พวกเขาได้เห็นพระเจ้าและได้กินและดื่ม (อพยพ 24:9-11)
หลังจากที่มีการประกาศใช้ธรรมบัญญัติอย่างเป็นทางการในตอนต้นของอพยพบทที่ 24 แล้ว โมเสส
อาโรน นาดับ อาบีฮู และผู้ใหญ่ของอิสราเอล 70 คนก็ขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าบนภูเขา
และพวกเขาก็ได้มีประสบการณ์พิเศษ คือได้เห็นพระเจ้าและพื้นที่รองเท้าของพระองค์
ซึ่งสุกใสเหมือนแก้วไพทูรย์ นับเป็นประสบการณ์ที่เยี่ยมยอดจริงๆ
สิ่งที่พวกเขาทำต่อไปนั้นน่าสนใจมาก พวกเขามองดูพระเจ้า กิน และดื่ม สิ่งที่พวกเขาทำเป็นแบบอย่างของการนมัสการที่แท้จริง
ระบบของศาสนาทำให้เรามองว่าการนมัสการพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราต้องทำด้วยความขึงขัง
ต้องทำหน้าจริงจังและเคร่งขรึมตลอดเวลา และต้องทำทุกสิ่งผ่านทางรูปแบบพิธีกรรมต่างๆ
ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แต่นั่นไม่ใช่ภาพที่เราเห็นเลยจากพระคัมภีร์ตอนนี้
พระธรรมตอนนี้ แสดงให้เราเห็นว่าการนมัสการ คือการที่เราเพ่งมองดูพระเจ้าพระบิดา และเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์กับพระองค์ด้วยการกินพระคริสต์ผู้เป็นอาหารแท้จากสวรรค์
และดื่มพระวิญญาณผู้เป็นน้ำแห่งชีวิต
เมื่อเราพิจารณาจาก ยอห์นบทที่ 4 เราจะเห็นได้ชัดเจนว่า
การนมัสการมีความเชื่อมโยงกับการดื่มน้ำแห่งชีวิตที่พระเยซูให้อย่างชัดเจน เมื่อเราดื่มน้ำแห่งชีวิต
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ น้ำนั้นจะทำให้ชีวิตของเราเต็มล้นไปด้วยความชื่นชมยินดีและความเพลิดเพลิน
ความเพลิดเพลินที่เกิดขึ้นนี้เอง จะไหลล้นออกมาเป็นการนมัสการพระเจ้า
พระเยซูตรัสตอบว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14 แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น
จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"
(ยอห์น 4:13-14)
(ยอห์น 4:13-14)
"พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ
และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง"
(ยอห์น 4:24)
(ยอห์น 4:24)
พระธรรมยอห์นตอนนี้ช่างล้ำค่าจริงๆ ครับ เพราะเป็นการยืนยันว่า
การนมัสการพระเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องของพิธีกรรมใดๆ หากแต่เป็นการนมัสการพระเจ้าพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง
นั่นคือ เราจะนมัสการพระบิดาได้ ด้วยพระวิญญาณที่อยู่ในจิตวิญญาณของเรา ผ่านทางพระบุตร ผู้ซึ่งเป็นความจริงหรือเป็นความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์ทุกประการที่ปรากฏในพระคัมภีร์เดิม
รวมถึง เครื่องบูชา อาหารแห่งชีวิต ฯลฯ
วันนี้ขอให้เรามานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง
โดยการเพ่งมองดูพระเจ้า และกิน และดื่มกันนะครับ
บทเรียนจากการนมัสการในอพยพ 32
1 เมื่อประชาชนเห็นโมเสสล่าช้าอยู่
ไม่ลงมาจากภูเขา จึงพากันมาหาอาโรน กล่าวว่า
“จงลุกขึ้นสร้างพระให้เรา ซึ่งจะนำหน้าเรา เพราะว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์
เราไม่ทราบว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว”
2 อาโรนจึงกล่าวกับพวกเขาว่า "จงปลดตุ้มหูทองจากหูภรรยาและหูบุตรชายหญิงของเจ้าทั้งหลาย แล้วนำมาให้เราเถิด"
3 ประชาชนทั้งหมดจึงปลดตุ้มหูทองจากหูของตนมามอบให้อาโรน
4 เมื่ออาโรนได้ทองคำจากพวกเขาแล้ว จึงใช้เครื่องมือหล่อทองคำเป็นรูปโคหนุ่ม1 แล้วเขาทั้งหลายประกาศว่า "โอ อิสราเอล สิ่งเหล่านี้แหละเป็นพระของเจ้า ซึ่งนำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์"
5 เมื่ออาโรนเห็นดังนั้นแล้ว จึงสร้างแท่นบูชาไว้ ตรงหน้ารูปโคนั้น แล้วอาโรนประกาศว่า "พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์"
6 รุ่งขึ้นพวกเขาก็ลุกขึ้นแต่เช้าถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และนำเครื่องศานติบูชามา ประชาชนก็นั่งลง กินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นทำสิ่งที่น่าบัดสีต่อกัน
(อพยพ 32:1-6)
2 อาโรนจึงกล่าวกับพวกเขาว่า "จงปลดตุ้มหูทองจากหูภรรยาและหูบุตรชายหญิงของเจ้าทั้งหลาย แล้วนำมาให้เราเถิด"
3 ประชาชนทั้งหมดจึงปลดตุ้มหูทองจากหูของตนมามอบให้อาโรน
4 เมื่ออาโรนได้ทองคำจากพวกเขาแล้ว จึงใช้เครื่องมือหล่อทองคำเป็นรูปโคหนุ่ม1 แล้วเขาทั้งหลายประกาศว่า "โอ อิสราเอล สิ่งเหล่านี้แหละเป็นพระของเจ้า ซึ่งนำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์"
5 เมื่ออาโรนเห็นดังนั้นแล้ว จึงสร้างแท่นบูชาไว้ ตรงหน้ารูปโคนั้น แล้วอาโรนประกาศว่า "พรุ่งนี้จะเป็นวันเทศกาลเลี้ยงถวายเกียรติพระยาห์เวห์"
6 รุ่งขึ้นพวกเขาก็ลุกขึ้นแต่เช้าถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว และนำเครื่องศานติบูชามา ประชาชนก็นั่งลง กินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นทำสิ่งที่น่าบัดสีต่อกัน
(อพยพ 32:1-6)
โมเสสขึ้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นเวลานาน คนอิสราเอลก็รู้สึกวุ่นวายใจว่าทำไมโมเสสหายไปนาน
และในที่สุด อาโรนก็สร้างรูปปั้นวัวทองคำขึ้นมา
และทำการนมัสการรูปปั้นวัวทองคำนั้น ซึ่งทองที่เขาใช้สร้างวัว น่าจะเป็นสิ่งที่เขาเก็บไว้ใช้ในการสร้างพลับพลาของพระเจ้ามากกว่า
ถ้าหากเรามองว่าโมเสสเป็นภาพของพระเยซู เราก็จะเห็นได้ว่าเราอยู่ในสภาพเดียวกับชาวอิสราเอล
พระเยซูกลับขึ้นไปสวรรค์ ไปอยู่ด้านขวาของพระเจ้าพระบิดา และอธิษฐานเพื่อเราอยู่ เราอาจมองว่าพระองค์ไปนานจัง
ไม่กลับมาเสียที ท่าทีของเราในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างไรครับ? เราจะยังคงเชื่อวางใจในพระองค์
หรือว่าเราว้าวุ่นใจ และหันมานมัสการสิ่งอื่นใดที่ดีน้อยกว่าพระองค์อย่างเทียบกันไม่ติดเลยครับ? อย่าทำผิดเหมือนกับคนอิสราเอลในพระคำตอนนี้เลยนะครับ ขอให้เราเชื่อวางใจพระองค์ในทุกโมงยาม
พระองค์อาจกลับมาช้า แต่พระองค์จะกลับมารับเราไปอยู่กับพระองค์แน่ๆ ครับ
ที่น่าสนใจในพระคำตอนนี้ คือ การนมัสการของเขามีการกล่าวอ้างพระนามพระยาเวห์
และรูปแบบพิธีกรรมก็เหมือนกับที่พระเจ้ากำหนดไว้สำหรับการนมัสการพระองค์เลย เช่น
มีการถวายเครื่องบูชาเหมือนกัน มีการกินและดื่มเหมือนกัน ต่างกันเพียงอย่างเดียว
คือ สิ่งที่เขานมัสการไม่ใช่พระเจ้า
การนมัสการโคทองคำนี้ อาจจะแตกต่างจากการกราบไว้รูปเคารพที่เราพบได้ทั่วไปในบ้านเราครับ
เพราะว่าอิสราเอลเขาคิดว่าเขานมัสการพระเจ้าอยู่ เขาไม่ได้คิดว่าวัวตัวนั้นเป็นพระเจ้า
แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของพระเจ้าเท่านั้น เขาหลอกตัวเองว่าเขานมัสการพระยาเวห์ และสิ่งที่เขาทำก็ดูเหมือนนมัสการพระยาห์เวห์อยู่
แต่ความเป็นจริง เขาไม่ได้นมัสการพระยาห์เวห์เลยแม้แต่น้อย เขากำลังนมัสการความสนุกสนานของตัวเองอยู่
ดังจะเห็นได้ว่าพวกเขาเล่นกันสนุกสนานมาก และเลยเถิดไปจนถึงการทำสิ่งที่น่าบัดสีต่อกันด้วย
พี่น้องครับ เวลาเราไปนมัสการทุกวันอาทิตย์
เรากำลังนมัสการอะไรอยู่ครับ? ภายนอก เราอาจดูเหมือนว่าเรากำลังนมัสการพระเจ้าอยู่
เพราะเราร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า เราพูดและเรียนรู้เรื่องราวของพระเจ้า แต่เป้าหมายของการนมัสการของเราอยู่ที่ไหน?
อยู่ที่พระเจ้า หรืออยู่ที่สิ่งอื่นใดครับ? ขณะที่เรานมัสการ
เราให้พระเจ้าเป็นเป้าหมายของการนมัสการของเรา หรือว่าเรากำลังแสวงหาความสนุกสนานหรือทำเพื่อตัวเราเองครับ?
ขอพระเจ้าช่วยให้เราเรียนรู้จากความผิดของคนอิสราเอลในพระธรรมตอนนี้
และจะระมัดระวังเสมอทุกครั้งที่เรานมัสการ เพื่อที่เราจะให้พระองค์เป็นเป้าหมายเดียวของการนมัสการเสมอครับ
เขียนและเรียบเรียงโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
- The holy word for morning revival: crystallization-study of Exodus, week 22: The worship of God.
- Life study of Exodus, message 66-67, 173-174.
หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง
มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย
หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น
No comments:
Post a Comment