Thursday 15 October 2015

อพยพ บทเรียน 19: "พันธสัญญา"



ตกผลึกความจริงจากพระธรรมอพยพ
บทเรียน 19:
"พันธสัญญา"

ศึกษาพันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับมนุษย์ในพระคัมภีร์ทั้งภาคพันธสัญญาเดิม และพันธสัญญาใหม่ รวมถึงความหมายของพันธสัญญาเหล่านั้นต่อชีวิตของผู้เชื่อทุกคน

พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งพันธสัญญา พระคัมภีร์ทั้งเล่มก็เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเรียกพระคัมภีร์ 39 เล่มแรกว่า "พันธสัญญาเดิม" (old testament) และ 27 เล่มหลังว่า "พันธสัญญาใหม่" (new testament) ดังนั้น ผู้เชื่อทุกคนทุกยุคทุคสมัยก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธสัญญาของพระองค์ทั้งสิ้น

คำว่า "พันธสัญญา" ในภาษาไทยง่ายๆ เพราะมีอยู่คำเดียว ไม่ต้องปวดหัว แต่ภาษาอังกฤษในพระคัมภีร์ใหม่ มีคำแปล 2 คำ คือ covenant และ testament ซึ่งมาจากภาษากรีกเดียวกัน คือ "diatheke"

covenant (ถ้าใช้ภาษาง่ายๆ ก็คือ contract) แปลว่า "สัญญา/ข้อตกลง" ส่วนคำว่า testament มีความหมายเชิง "พินัยกรรม" Mickelson's Enhanced Strong's Dictionaries of the Greek and Hebrew Testaments ได้ให้ความหมายของคำว่า "diatheke" ว่าเป็นสัญญา/ข้อตกลงโดยเฉพาะที่เป็นพินัยกรรม ดังนั้นดูเหมือนคำว่า testament จึงน่าจะตรงกับความหมายของรากศัพท์ภาษากรีกอย่างไม่ผิดเพี้ยน

จากความเข้าใจของคนทั่วไป พินัยกรรมก็คือเอกสารที่ระบุเจตนาของผู้ที่ทำว่าจะมอบทรัพย์สินที่มีค่าให้กับผู้รับพินัยกรรม และผลก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นจนกว่าที่ผู้ทำพินัยกรรมจะตายเสียก่อน นี่จึงทำให้คำว่าพันธสัญญา ซึ่งมีความหมายตรงกับ "พินัยกรรม" มีความน่าสนใจมาก เพราะแท้จริงแล้ว พันธสัญญา คือสิ่งที่พระเจ้าตั้งใจที่จะให้สิ่งมีค่าแก่เรา และเราในฐานะลูกของพระเจ้าได้รับมรดกนั้นเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าผู้ทำพินัยกรรม ซึ่งก็คือพระเจ้าเอง ได้มาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อตายไถ่บาปแทนเรา และเมื่อพระองค์ได้ผ่านกระบวนการตายแล้ว พันธสัญญาต่างๆ ที่เคยเป็นสัญญา/ข้อตกลงในพระคัมภีร์เดิม ก็ได้กลายเป็นพินัยกรรม และบัดนี้เราก็สามารถเพลิดเพลินกับสิ่งมีค่าสูงสุดที่ผู้ทำพินัยกรรมตั้งใจจะมอบให้แก่เราตลอดไป สิ่งมีค่านี้จะเป็นสิ่งอื่นได้ไม่ได้นอกจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราทุกคน

ในบทที่แล้ว ผมได้เขียนเล่าถึงพิธีรับพันธสัญญา ซึ่งเป็นการประกาศใช้ธรรมบัญญัติอย่างเป็นทางการ และทำให้ธรรมบัญญัติได้กลายเป็น "พันธสัญญา" ขึ้นมา ในบทนี้ ผมจึงอยากเล่าต่อเกี่ยวกับพันธสัญญาหลักอื่นๆ ในพระคัมภีร์เดิม และพระคัมภีร์ใหม่ เพื่อจะได้ช่วยให้พี่น้องได้เห็นจัดเจนขึ้นถึง "พินัยกรรม" ที่พระเจ้าได้มอบให้แก่เราเรียบร้อยแล้ว


"พันธสัญญา" ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม

ในพระคัมภีร์เดิม มีการบันทึกเกี่ยวกับพันธสัญญาของพระเจ้าหลายครั้ง ในที่นี้ ผมจะขอกล่าวถึงแค่พันธสัญญาหลักๆ ที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่โดยตรงครับ โดยจะแบ่งเป็น 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ พันธสัญญาของพระเจ้ากับเอวา อับราฮัม และดาวิดเกี่ยวกับ "เชื้อสาย" และพันธสัญญาของพระเจ้ากับโนอาห์ในการให้ "รุ้ง"

1. พันธสัญญาของพระเจ้ากับเอวา อับราฮัม และดาวิด เกี่ยวกับ "เชื้อสาย"

1.1 พันธสัญญากับเอวา

หลังจากที่มนุษย์ล้มลงในความบาป อันส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าต้องขาดสะบั้นลง ด้วยความเมตตากรุณา พระเจ้าได้ใหัสัญญาไว้กับเอวาว่าเชื้อสายหรือพงศ์พันธุ์ของเธอจะเป็นความหวังของมนุษย์โลก ท่านผู้นั้นจะบดขยี้หัวของซาตาน ซึ่งแลกด้วยการที่เท้าของท่านก็จะฟกช้ำด้วยเช่นกัน

เรา​จะ​ให้​เจ้า​กับ​หญิง​นี้​เป็น​ศัตรู​กัน ทั้ง​พงศ์​พันธุ์​ของ​เจ้า และ​พงศ์​พันธุ์​ของ​นาง​ด้วย เขา​จะ​ทำ​ให้​หัว​ของ​เจ้า​แหลก และ​เจ้า​จะ​ทำ​ให้​ส้น​เท้า​ของ​เขา​ฟก​ช้ำ
(ปฐมกาล 3:15)

และในพันธสัญญาใหม่ คงจะไม่มีใครเถียงได้ ว่าพงศ์พันธุ์ของเอวาผู้นั้น คือพระคริสต์นั่นเอง พระองค์เกิดจากนางมารีย์สาวพรหมจารีย์ มาบดขยี้หัวของซาตานที่กางเขน และไถ่เราให้หลุดพ้นจากอำนาจของความบาปและความตาย ส่งผลให้เราสามารถกลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้เป็น "พ่อ" ของเราได้อีกครั้งหนึ่ง

เธอ​จะ​ให้​พระ​กำ​เนิด​บุตร​ชาย แล้ว​จง​เรียก​นาม​ท่าน​ว่า เยซู เพราะ​ว่า​ท่าน​จะ​ทรง​ช่วย​ชน​ชาติ​ของ​ท่าน​ให้​รอด​จาก​บาป​ของ​พวก​เขา
(มัทธิว 1:21)
4 แต่​เมื่อ​ครบ​กำ​หนด​แล้ว พระ​เจ้า​ก็​ทรง​ใช้​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์​มา ประสูติ​จาก​สตรี​เพศ​และ​ทรง​ถือ​กำเนิด​ใต้​ธรรม​บัญ​ญัติ
5 เพื่อ​จะ​ทรง​ไถ่​คน​เหล่า​นั้น​ที่​อยู่​ใต้​ธรรม​บัญ​ญัติ เพื่อ​ให้​เรา​ได้​รับ​ฐานะ​เป็น​บุตร
6 และ​เพราะ​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เป็น​บุตร​แล้วพระ​องค์​จึง​ทรง​ใช้​พระ​วิญ​ญาณ​แห่ง​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์ เข้า​มา​ใน​ใจ​ของ​เราร้อง​ว่า "อับ​บา (พ่อ)"
(กาลาเทีย 4:4-6)
บุตร​ทั้ง​หลาย​มี​เลือด​และ​เนื้อ​เช่น​กัน​อย่าง​ไร พระ​องค์​ก็​ทรง​มี​ส่วน​เช่น​นั้น​ด้วย​อย่าง​นั้น เพื่อ​โดย​ทาง​ความ​ตาย​นั้น พระ​องค์​จะ​ทรง​ทำ​ลาย​มาร​ผู้​มี​อำ​นาจ​แห่ง​ความ​ตาย
(ฮีบรู 2:14)

ดังนั้น มรดกที่เราได้รับแล้วจากพันธสัญญากับเอวา ก็คือความหลุดพ้นจากอำนาจของซาตาน ความบาป และความตาย สรรเสริญพระเจ้า

ผมประทับใจที่ Witness Lee ได้เขียนไว้เกี่ยวกับอำนาจของซาตาน พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่าหัวของซาตานถูกบดขยี้แล้ว เขาถูกตรึงกับพระคริสต์ที่กางเขนแล้ว เขาทุกทำลายแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีอำนาจมากอีกต่อไป และนี่คือความจริงที่พระคัมภีร์บอกไว้ แม้ว่าจะขัดกับความรู้สึกว่าเขามีอำนาจมากอยู่ ดังนั้น อย่าเชื่อความรู้สึกของเรา แต่ขอให้เราเชื่อพระคัมภีร์ และดำรงชีวิตแห่งชัยชนะ เพราะเราดำรงชีวิตจากพื้นฐานแห่งชัยชนะซึ่งเราได้รับร่วมกับพระคริสต์ ไม่ได้ดำรงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ!

1.2 พันธสัญญากับอับราฮัม

หลังจากสมัยที่มนุษย์ล้มลงในความบาปประมาณ 2 พันปี ก็มีบุคคลสำคัญคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา นั่นคืออับราฮัม พระเจ้าได้ให้พระสัญญาแก่อับราฮัมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อสาย เรื่องดินแดน และเรื่องพระพรในปฐมกาลบทที่ 12 ซึ่งพระสัญญาทั้งหมดล้วนเป็นเงาที่เล็งไปถึงพระคริสต์ทั้งสิ้น

ต่อมาพระองค์ได้ทำพันธสัญญานิรันดร์แก่อับราฮัมในปฐมกาลบทที่ 17

เรา​จะ​สถา​ปนา​พันธ​สัญ​ญา​ของ​เรา​ไว้​ระ​หว่าง​เรา​กับ​เจ้า และ​เชื้อ​สาย​ต่อ​มา​ของ​เจ้า​ตลอด​ชั่ว​ชาติ​พันธุ์​ของ​เจ้า​ให้​เป็น​พันธ​สัญ​ญา​นิรันดร์ คือ​เป็น​พระ​เจ้า​แก่​เจ้า และ​แก่​เชื้อ​สาย​ต่อ​มา​ของ​เจ้า
(ปฐมกาล 17:7)

และแน่นอน พันธสัญญาที่พระเจ้าทำไว้กับอับราฮัมนั้นไม่สำเร็จ จนกระทั่งอีก 2 พันปีต่อมา เมื่อพระคริสต์ได้มายังโลกนี้ เมื่อพระองค์คืนชีวิตขึ้นมาหลังจากที่พระองค์ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน พระองค์ได้ให้พระวิญญาณของพระองค์แก่เรา เพื่อที่เราจะได้รู้จักพระองค์และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ตลอดไป

เพื่อ​พร​ของ​อับ​รา​ฮัม​จะ​ได้​มา​ถึง​บรร​ดา​คน​ต่าง​ชาติ ที่​อยู่​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ เพื่อ​เรา​จะ​ได้​รับ​พระ​วิญ​ญาณ​ตาม​พระ​สัญ​ญา​โดย​ความ​เชื่อ
(กาลาเทีย 3:14)

ดังนั้น มรดกที่เราได้รับจากพันธสัญญากับอับราฮัม ก็คือพระคริสต์พระองค์เองผู้เป็นพระพรที่แท้จริงและมรดกที่ล้ำค่าของเรา

1.3 พันธสัญญากับดาวิด

อีกหลายร้อยปีต่อมา พระเจ้าก็ได้ทำพันธสัญญากับกษัตริย์ดาวิดผู้เป็นเชื้อสายของอับราฮัม และได้สัญญาอีกครั้งถึง "เชื้อสาย" ที่จะมาจากพงศ์พันธุ์ของดาวิด ผู้ซึ่งจะครองบัลลังก์ตลอดกาล

3 พระ​องค์​ตรัส​ว่า "เรา​ได้​ทำ​พันธ​สัญ​ญา​กับ​ผู้​ที่​เรา​เลือก เรา​ได้​ปฏิ​ญาณ​กับ​ดา​วิด​ผู้​รับ​ใช้​ของ​เรา​ว่า
4 'เรา​จะ​สถา​ปนา​พงศ์​พันธุ์​ของ​เจ้า​ไว้​เป็นนิตย์ และ​จะ​สร้าง​บัล​ลังก์​ของ​เจ้า​ไว้​ทุก​ชั่ว​ชาติ​พันธุ์' " เส-ลาห์
(ฮีบรู 89:3-4)

แน่นอนว่าเชื้อสายนี้ไม่ใช่ลูกของดาวิดเลย เพราะไม่มีใครที่อยู่ยงคงกระพันเลย แม้แต่ซาโลมอนซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็ไม่ได้ครองบัลลังก์ตลอดไป แต่เชื้อสายที่พระเจ้ากล่าวถึงนี้ก็คือพระคริสต์ผู้ที่ได้ปรากฏตัวขึ้นประมาณพันปีหลังจากสมัยของดาวิด การปรากฏตัวที่ยืนยันว่าพระองค์เป็นพรอันบริสุทธิ์และมั่นคงแก่ผู้เชื่อทุกคนตามที่พระองค์สัญญาไว้กับดาวิดก็คือการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ บัดนี้เราผู้เชื่อทุกคนได้รับสิทธิ์ที่จะครอบครองเป็นกษัตริย์ร่วมกับพระองค์ในอาณาจักรของพระองค์ชั่วนิรันดร์

ส่วน​ข้อ​ที่​ว่า พระ​เจ้า​ทรง​ให้​พระ​องค์​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย ไม่​ให้​เน่า​เปื่อย​อีก​นั้น พระ​องค์​ตรัส​ดัง​นี้​ว่า "เรา​จะ​ให้พร​อัน​บริ​สุทธิ์​และ​มั่น​คง​ที่​เรา​สัญ​ญา​ไว้​กับ​ดา​วิด​แก่​พวก​ท่าน"
(กิจการ 13:34)
 4 ข้าพ​เจ้า​เห็น​บัล​ลังก์​หลาย​บัล​ลังก์ และ​ผู้​ที่​นั่ง​อยู่​บน​นั้น​ได้​รับ​มอบ​อำ​นาจ​ใน​การ​พิพาก​ษา ข้าพ​เจ้า​เห็น​ดวง​วิญ​ญาณ​ของ​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​ถูก​ตัด​ศีรษะ​เพราะ​การ​เป็น​พยาน​ถึง​พระ​เยซู และ​เพราะ​พระ​วจนะ​ของ​พระ​เจ้า พวก​เขา​ไม่​ได้​บูชา​สัตว์​ร้าย​หรือ​รูป​ของ​มัน และ​ไม่​ได้​รับ​เครื่อง​หมาย​ของ​มัน​ไว้​ที่​หน้า​ผาก​หรือ​ที่​มือ​ของ​เขา เขา​ทั้ง​หลาย​กลับ​มี​ชีวิต​ขึ้น​อีก​และ​ครอบ​ครอง​ร่วม​กับ​พระ​คริสต์​เป็น​เวลา​หนึ่ง​พัน​ปี
6 ใคร​ที่​มี​ส่วน​ใน​การ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย​ครั้ง​แรก​ก็​เป็น​สุข​และ​บริ​สุทธิ์ ความ​ตาย​ครั้ง​ที่​สอง​จะ​ไม่​มี​อำ​นาจ​เหนือ​เขา​ทั้ง​หลาย แต่​เขา​จะ​เป็น​ปุโร​หิต​ของ​พระ​เจ้า​และ​ของ​พระ​คริสต์ และ​จะ​ครอบ​ครอง​ร่วม​กับ​พระ​องค์​หนึ่ง​พัน​ปี
(วิวรณ์ 20:4,6)

ดังนั้น มรดกที่เราได้รับจากพันธสัญญากับดาวิด คือ เกียรติสิริในฐานะกษัตริย์ร่วมกับพระองค์ในอาณาจักรนิรันดร์ของพระองค์ตลอดไป

2. พันธสัญญาของพระเจ้ากับโนอาห์ในการให้ "รุ้ง"

11 "เรา​จะ​ตั้ง​พันธ​สัญ​ญา​ของ​เรา​ไว้​กับ​พวก​เจ้า​ว่า​จะ​ไม่​ทำ​ลาย​มนุษย์​และ​สัตว์​ทั้ง​ปวง​โดย​ให้​น้ำ​ท่วม​อีก และ​จะ​ไม่​ให้​มี​น้ำ​มา​ท่วม​ทำลาย​โลก​อีก​ต่อ​ไป"
12 พระ​เจ้า​ตรัส​ว่า "นี่​แหละ​เป็น​เครื่อง​หมาย​แห่ง​พันธ​สัญ​ญา ซึ่ง​เรา​ให้​ไว้​ระหว่าง​เรา​กับ​พวก​เจ้า และ​กับ​สัตว์​มี​ชีวิต​ทั้ง​ปวง​ที่​อยู่​กับ​พวก​เจ้า​สืบ​ไป​ทุก​ชั่ว​อายุ
13 คือ​เรา​ตั้ง​รุ้ง​ของ​เรา​ไว้​ที่​เมฆ และ​รุ้ง​นั้น​จะ​เป็น​เครื่อง​หมาย​แห่ง​พันธ​สัญ​ญา​ระหว่าง​เรา​กับ​โลก"
(ปฐมกาล 9:11-13)

ถ้าใครเคยอ่านพระคัมภีร์ก็น่าจะได้อ่านผ่านเกี่ยวกับต้นกำเนิดของรุ้งในปฐมกาลบทที่ 9 ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าให้ไว้เป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาที่พระองค์ทำไว้กับโนอาห์ หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก

ผมได้มีโอกาสศึกษาจากการอ่านและกลุ่มสามัคคีธรรม และได้มีโอกาสนั่งคิดเกี่ยวกับรุ้ง เลยอยากเล่าให้ฟังว่ารุ้งมีความหมายอย่างไรบ้างครับ

2.1 รุ้งเป็นของขวัญจากพระเจ้า

เวลาผมเห็นรุ้ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ผมจะรู้สึกสดชื่น ตื่นเต้น และชื่นชมในความสวยงามของมัน ถ้าหากว่าผมเป็นคนปกติ ทุกคนก็คงจะรู้สึกเช่นเดียวกับผม

ในแง่หนึ่ง รุ้งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดจากการหักเหของแสง แต่ในอีกแง่หนึ่ง พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่ารุ้งมีเจ้าของ รุ้งเป็นของพระเจ้า (ปฐมกาล 9:13)

ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นรุ้ง ก็อย่าลืมคิดถึงเจ้าของของมันด้วยนะครับ มันคือของขวัญที่พระเจ้าให้เราได้ชื่นชมครับ

1.2 รุ้งเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า

ตรงไปตรงมาจากพระคำตอนนี้ รุ้งเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ยืนยันว่าโลกนี้จะไม่จบลงเพราะน้ำท่วมโลก อย่างไรก็ตาม จากพระธรรม 2 เปโตร เราจะเห็นได้ว่าโลกจะจบลงแน่ๆ ด้วยไฟที่เผาผลาญ แต่ไม่ต้องกลัวครับ เพราะเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหลังยุคพันปี เราทุกคนอยู่กับพระเจ้าแล้ว และหลังจากจุดจบนั้นเอง ก็จะเกิดสิ่งที่ดีล้ำเลิศขึ้นมา ที่โลกนี้เทียบไปได้เลย นั่นคือแผ่นดินสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ ที่ซึ่งเราจะได้อยู่ร่วมกันกับพระเจ้าและพี่น้องอย่างมีความสุขตลอดกาล

นอกจากนี้ รุ้งเองยังเป็นครื่องหมายแสดงให้เราเห็นถึงความสัตย์ซื่อและความเมตตาของพระเจ้าที่ละเว้นครอบครัวของโนอาห์ไว้จากการพิพากษา เช่นเดียวกัน เมื่อเราเห็นรุ้ง ก็ขอให้เราชื่นชมความสัตย์ซื่อและความเมตตาของพระเจ้าที่จะละเว้นเราไว้จากการพิพากษาเช่นเดียวกันนะครับ (ผู้เชื่อจะต้องถูกพิพากษา แต่เพื่อรับบำเหน็จครับ ไม่ใช่เพื่อตัดสินว่ารอดจากบึงไฟนรกหรือไม่)

ที่น่าสนใจคือ ในสวรรค์ก็จะยังมีรุ้งอยู่ และรุ้งนี้จะอยู่ที่บัลลังก์ของพระเจ้า แสดงให้เห็นว่าพันธสัญญานี้จะดำรงอยู่ตลอดไป พระเจ้าไม่เคยลืมคำสัญญานี้เลย

และ​ท่าน​ที่​ประ​ทับ​บน​พระ​ที่​นั่ง​นั้น​ปรา​กฏ​เหมือน​แจส​เพอร์​และ​คาร์​เน​เลียน และ​มี​รุ้ง​รอบๆ พระ​ที่​นั่ง​นั้น ปรา​กฏ​เหมือน​มร​กต
(วิวรณ์ 4:3)

1.3 รุ้งเป็นการสำแดงของพระเจ้า

รุ้งมี 7 สี แต่สีหลักๆ ก็คงจะเป็นแม่สีหลัก นั่นคือ สีแดง สีเหลือง และสีฟ้า

สำหรับผู้ที่ศึกษาความหมายของสีต่างๆ ในพระคัมภีร์ ก็จะตีความได้อย่างนี้ครับ
  • สีแดง เป็นสีของไฟ แสดงถึงความบริสุทธิ์
  • สีเหลือง เป็นสีของโลหะผสมทองและเงิน แสดงถึงพระสิริ
  • สีฟ้า เป็นสีของหินแซฟไฟร์ แสดงถึงความชอบธรรม
ดังนั้น สีต่างๆ ในรุ้ง ล้วนสำแดงถึงลักษณะของคนที่สร้างมันขึ้นมา พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เปี่ยมด้วยพระสิริ และชอบธรรม

และเราทุกคนผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็ได้มีประสบการณ์กับพระเจ้าองค์นี้ พระองค์เป็นมรดกของเรา พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่าเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราได้รับความชอบธรรมของพระเจ้า ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ และได้ร่วมในศักดิ์ศรีของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ช่างเป็นมรดกล้ำค่าซึ่งไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน

โดย​พระ​องค์ ท่าน​ทั้ง​หลาย​จึง​อยู่​ใน​พระ​เยซู​คริสต์ ผู้​ทรง​เป็น​พระ​ปัญ​ญา​จาก​พระ​เจ้า​สำ​หรับ​เรา ทรง​เป็น​ผู้​ทำ​ให้​เรา​ชอบ​ธรรม ทรง​เป็น​ผู้​ชำระ​เรา​ให้​บริ​สุทธิ์ และ​ทรง​เป็น​ผู้​ไถ่​บาป
(1 โครินธ์ 1:30)
พระ​องค์​ทรง​เรียก​พวก​ท่าน​เพื่อ​การ​นี้​โดย​ทาง​ข่าว​ประ​เสริฐ​ของ​เรา เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​ร่วม​ใน​ศักดิ์​ศรี​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา
(2 เธสะโลนิกา 2:14)


"พันธสัญญา" ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่

พระคัมภีร์เดิมมีพันธสัญญามากมาย แต่พี่น้องคงจะได้เห็นแล้วสินะครับว่า พันธสัญญาเดิมเป็นเหมือนแค่เงา ของแท้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่ทั้งสิ้น ขอบคุณพระเจ้าที่ให้เราได้เกิดมาในสมัยนี้ ทำให้เราได้เพลิดเพลินกับมรดกต่างๆ ที่พระเจ้าผู้ทำพินัยกรรมตั้งใจจะมอบให้

นอกจากนี้ ในพระคัมภีร์ใหม่เอง ก็ได้มีพันธสัญญาเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน แต่ก่อนที่จะถึงตรงนั้น อยากขอกล่าวถึงภาพรวมของพันธสัญญาใหม่ ที่ปรากฏในพระธรรมเยเรมีย์บทที่ 31 ครับ เพราะเป็นภาพที่ทำให้เราได้เห็นพันธสัญญาใหม่ได้ชัดเจน และทำให้พระธรรมเยเรมีย์เป็นหนังสือเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์เดิมที่เชื่อมต่อกับพันธสัญญาใหม่ได้อย่างลงตัว

31 พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ว่า "นี่​แน่ะ วัน​เวลา​จะ​มา​ถึง ซึ่ง​เรา​จะ​ทำ​พันธ​สัญ​ญา​ใหม่​กับ​เชื้อ​สาย​ของ​อิส​รา​เอล​และ​เชื้อ​สาย​ของ​ยู​ดาห์
32 ไม่​เหมือน​กับ​พันธ​สัญ​ญา​ซึ่ง​เรา​ได้​ทำ​กับ​บรรพ​บุรุษ​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย เมื่อ​เรา​จูง​มือ​เขา​เพื่อ​นำ​เขา​ออก​มา​จาก​แผ่น​ดิน​อียิปต์ เป็น​พันธ​สัญ​ญา​ของ​เรา​ซึ่ง​เขา​ฝ่า​ฝืน ถึง​แม้​ว่า​เรา​ได้​เป็น​สามี​ของ​เขา" พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ดัง​นี้​แหละ
33 แต่​นี่​จะ​เป็น​พันธ​สัญ​ญา​ซึ่ง​เรา​จะ​ทำ​กับ​เชื้อ​สาย​ของ​อิส​รา​เอล​ภาย​หลัง​สมัย​นั้น" พระ​ยาห์​เวห์​ตรัส​ดัง​นี้​แหละ "เรา​จะ​บรรจุ​ธรรม​บัญ​ญัติ​ไว้​ใน​เขา​ทั้ง​หลาย และ​เรา​จะ​จา​รึก​มัน​ไว้​บน​ดวง​ใจ​ของ​เขา และ​เรา​จะ​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​เขา และ​เขา​จะ​เป็น​ประ​ชา​กร​ของ​เรา"
(เยเรมีย์ 31:31-33)

พันธสัญญาใหม่นี้ได้มีการประกาศใช้แล้ว องค์พระเยซูคริสต์ได้ประกาศพันธสัญญาใหม่ในพิธีมหาสนิท อันเป็นพันธสัญญาแห่งโลหิตที่พระองค์หลั่งออกเพื่อนำการยกโทษมาสู่ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์

26 ระหว่าง​รับ​ประ​ทาน​อยู่​นั้น พระ​เยซู​ทรง​หยิบ​ขนม​ปัง​ขึ้น​มา และ​เมื่อ​ขอ​พระพร​แล้ว ก็​ทรง​หัก​ส่ง​ให้​บรร​ดา​สา​วก​ตรัส​ว่า "จง​รับ​ไป​กิน​เถิด นี่​เป็น​กาย​ของ​เรา"
27 แล้ว​พระ​องค์​ทรง​หยิบ​ถ้วย เมื่อ​ขอบ​พระ​คุณ​แล้ว ก็​ทรง​ส่ง​ให้​พวก​เขา​ตรัส​ว่า "จง​รับ​ไป​ดื่ม​ทุก​คน​เถิด
28 เพราะ​ว่า​นี่​เป็น​โลหิต​ของ​เรา​อัน​เป็น​โลหิต​แห่ง​พันธ​สัญญา​ที่​หลั่ง​ออก​เพื่อ​ยก​บาป​โทษ​คน​จำนวน​มาก"
(มัทธิว 26:25-28)

พระธรรมฮีบรูได้อธิบายให้เราได้เห็นถึงมรดกที่เราจะได้รับจากพันธสัญญาใหม่นี้อย่างชัดเจน โดยอ้างอิงมาจากพระธรรมเยเรมีย์บทที่ 31

8 เพราะ​พระ​เจ้า​ทรง​ติ​เตียน​พวก​เขา​ว่า "องค์​พระ​ผู้​​เป็น​เจ้า​ตรัส​ว่า​นี่แน่ะ วัน​เวลา​จะ​มา​ถึง เมื่อ​เรา​จะ​ทำ​พันธ​สัญ​ญา​ใหม่​กับ​ชน​ชาติ​อิส​รา​เอล และ​กับ​ชน​ชาติ​ยูดาห์
9 ที่​ไม่​เหมือน​กับ​พันธ​สัญ​ญา​ซึ่ง​เรา​เคย​ทำ​กับ​บรรพ​บุรุษ​ของ​เขา​ทั้ง​หลาย ใน​วัน​ที่​เรา​จูง​มือ​พวก​เขา​เพื่อ​พา​ออก​จาก​แผ่น​ดิน​อียิปต์  เพราะ​พวก​เขา​ไม่​ได้​ดำ​รง​อยู่​ใน​พันธ​สัญ​ญา​ของ​เรา เรา​จึง​ละ​ทิ้ง​พวก​เขา​ไว้ องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ตรัส​ดัง​นี้​แหละ
10 นี่​คือ​พันธ​สัญ​ญา​ที่​เรา​จะ​ทำ​กับ​ชน​ชาติ​อิส​รา​เอล ภาย​หลัง​จาก​สมัย​นั้น องค์​พระ​ผู้เป็น​เจ้า​ตรัส  เรา​จะ​บรร​จุ​ธรรม​บัญ​ญัติ​ของ​เรา​ไว้​ใน​จิต​ใจ​ของ​พวก​เขา และ​เรา​จะ​จา​รึก​มัน​ไว้​ใน​ดวง​ใจ​ของ​พวก​เขา และ​เรา​จะ​เป็น​พระ​เจ้า​ของ​พวก​เขา และ​พวก​เขา​จะ​เป็น​ประ​ชา​กร​ของ​เรา
11 และ​พวก​เขา​จะ​ไม่​สอน​เพื่อน​บ้าน และ​พี่​น้อง​ของ​ตน​แต่​ละ​คน​ว่า "จง​รู้​จัก​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า" เพราะ​เขา​ทุก​คน​จะ​รู้​จัก​เรา ตั้ง​แต่​คน​ต่ำ​ต้อย​ที่​สุด​จน​ถึง​คน​ใหญ่​โต​ที่​สุด
12 เพราะ​เรา​จะ​เมต​ตา​ต่อ​การ​อธรรม​ของ​พวก​เขา และ​จะ​ไม่​จด​จำ​บรร​ดา​บาป​ของพวก​เขา​ไว้​เลย"
(ฮีบรู 8:8-12)

จากพระธรรมฮีบรูตอนนี้ เราเห็นได้ถึงมรดกอันล้ำค่ายิ่งที่เราได้รับ ในฐานะผู้รับมรดกของพระองค์ ถึง 4 ประการ คือ

1. พระองค์จะบรรจุธรรมบัญญัติไว้ในจิตใจของเรา

ในพระคัมภีร์เดิม พันธสัญญาที่โดดเด่นที่สุดก็คงจะเป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทำกับโมเสส ซึ่งปรากฏในอพยพ 19-24 ในบทเรียนที่ 18 ผมได้เล่าให้ฟังแล้วว่า เป้าหมายของธรรมบัญญัติ ไม่ใช่มีไว้เพื่อให้เราปฏิบัติตามด้วยกำลังของเราเอง เพราะว่าเราอ่อนแอเกินไปที่จะรักษาธรรมบัญญัติได้อย่างครบถ้วน แต่หน้าที่หลักอย่างหนึ่งของธรรมบัญญัติ ก็คือ เพื่อเปิดเผยความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เปิดโปงความชั่วร้ายและความสิ้นหวังของเรา และนำเราให้พึ่งพาองค์พระผู้ช่วยเพื่อจะได้รับความหลุดพ้น ดังนั้น พันธสัญญาเดิมที่ปรากฏในธรรมบัญญัติจึงเป็นพันธสัญญาแห่งการกล่าวโทษ

22 เพราะ​ว่า​ส่วน​ลึก​ใน​ใจ​ของ​ข้าพ​เจ้า​นั้น ก็​ชื่น​ชม​ใน​ธรรม​บัญ​ญัติ​ของ​พระ​เจ้า
23 แต่​ข้าพ​เจ้า​เห็น​มี​กฎ​อีก​อย่าง​หนึ่ง​อยู่​ใน​อวัยวะ​ของ​ข้าพ​เจ้า ซึ่ง​ต่อ​สู้​กับ​กฎ​แห่ง​จิต​ใจ​ของ​ข้าพ​เจ้า และ​ชัก​นำ​ให้​อยู่​ใต้​บัง​คับ​กฎ​แห่ง​บาป ซึ่ง​อยู่​ใน​อวัยวะ​ของ​ข้าพ​เจ้า
24 โอย ข้าพ​เจ้า​เป็น​คน​น่า​สม​เพช​อะไร​เช่น​นี้? ใคร​จะ​ช่วย​ให้​พ้น​จาก​ร่าง​กาย​แห่ง​ความ​ตาย​นี้
25 ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า โดย​ทาง​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา ฉะ​นั้น​ทาง​ด้าน​จิต​ใจ​ข้าพ​เจ้า​รับ​ใช้​ธรรม​บัญ​ญัติ​ของ​พระ​เจ้า แต่​ทาง​ฝ่าย​เนื้อ​หนัง​ข้าพ​เจ้า​รับ​ใช้​กฎ​แห่ง​บาป
(โรม 7:22-25)

แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์รู้ว่าเราสิ้นหวังเพียงไร พระองค์จึงให้พันธสัญญาใหม่แก่เรา คือพระองค์จะบรรจุธรรมบัญญัติ (law =  กฎ หรือกฎหมาย) ไว้ในดวงใจของเรา และพระองค์สัญญาไว้ว่าพระองค์จะเป็นพระเจ้าของเรา และเราจะเป็นประชากรของพระองค์

ในโรมบทที่ 8 อัครทูตเปาโลได้กล่าวถึงธรรมบัญญัติที่จะจารึกอยู่ในดวงใจของเรา ว่าเป็นกฎใหม่ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา ไม่ใช่กฎแห่งความดีหรือความชั่ว แต่เป็นกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ซึ่งนำเราให้รอดพ้นจากการลงโทษ ความบาป และความตาย นี่คือพันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าได้มอบไว้แก่เรา

1 เพราะ​ฉะ​นั้น​ไม่​มี​การ​ลง​โทษ​คน​ที่​อยู่​ใน​พระ​เยซู​คริสต์
2 เพราะ​ว่า​กฎ​ของ​พระ​วิญ​ญาณ​แห่ง​ชีวิต​ใน​พระ​เยซู​คริสต์​ได้​ทำ​ให้​ท่าน​พ้น​จาก​กฎ​แห่ง​บาป​และ​ความ​ตาย
3 เพราะ​ว่า​สิ่ง​ซึ่ง​ธรรม​บัญ​ญัติ​ทำ​ไม่​ได้ เพราะ​เนื้อ​หนัง​ทำ​ให้​มัน​อ่อน​กำ​ลัง​ไป​นั้น พระ​เจ้า​ได้​ทรง​ทำ​แล้ว โดย​พระ​องค์​ทรง​ใช้​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์​เอง​มา ใน​สภาพ​เสมือน​เนื้อ​หนัง​ที่​บาป และ​เพื่อ​ไถ่​บาป พระ​บุตร​ใน​เนื้อ​หนัง​จึง​ได้​ทรง​ลง​โทษ​บาป
4 เพื่อ​ความ​ชอบ​​ธรรม​ของ​ธรรม​บัญญัติ​จะ​ได้​สำ​เร็จ​ใน​ตัว​เรา​ผู้​ไม่​ดำ​เนิน​ตาม​เนื้อ​หนัง แต่​ตาม​พระ​วิญ​ญาณ
(โรม 8:1-4)

ดังนั้น กระบวนการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้เชื่อ จึงไม่ใช่เรื่องของการพยายามเปลี่ยนแปลงจากภายนอกด้วยการพยายามเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้าอีกต่อไป แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในด้วยกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต นั่นคือพระวิญญาณที่อยู่ในชีวิตของเรา จะทำการเปลี่ยนจิตใจของเรา ทั้งในส่วนของความคิด อารมณ์ และความตั้งใจ เพื่อที่เราจะเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้นทุกวันๆ แล้วในที่สุด เราทุกคนจะเป็นแบบจำลองของพระคริสต์ ให้ชาวโลกได้เห็นพระองค์ผ่านทางชีวิตของเรา

2. พระองค์จะเป็นพระเจ้าของเรา และเราจะเป็นประชากรของพระองค์

นี่ช่างเป็นคำสัญญาที่หนุนใจจริงๆ เราไม่ได้รับพระพรต่างๆ จากพระองค์เท่านั้น แต่เราได้พระองค์เองเป็นมรดกด้วยเช่นกัน พระองค์จะเป็นพระเจ้าของเราเสมอไป

ในทางกลับกัน เรามีค่ามากในสายตาของพระเจ้า เราเป็นประชากรของพระองค์ นั่นหมายถึงเราทุกคนล้วนเป็นมรดกของพระเจ้าเช่นเดียวกัน

3. พระองค์จะนำให้เรารู้จักพระองค์

พันธสัญญาใหม่ทำให้เราได้รับกฎแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต และได้พระองค์เป็นพระเจ้า ผลที่ตามมาคือเราจะได้รู้จักพระองค์ ไม่ใช่เพียงแค่รู้เกี่ยวกับพระองค์เท่านั้น แต่เราจะได้รู้จักพระองค์จากภายใน จากประสบการณ์ของเรา

4. พระองค์จะยกโทษเรา และไม่จำบาปของเราไว้เลย

ช่างเป็นพระสัญญาที่เยี่ยมยอดจริงๆ พระเจ้าของเราเปี่ยมด้วยความรักแท้ พระองค์เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา พระองค์พร้อมและอยากที่จะยกโทษเรา และเนื่องจากพระคริสต์เป็นเครื่องบูชาลบบาปของเราแล้ว บาปของเราจึงถูกลบจนเกลี้ยง ทั้งบาปในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต พระองค์จะไม่จดจำบาปของเราอีกต่อไป!

สรรเสริญพระเจ้าสำหรับพันธสัญญาใหม่ที่พระองค์มอบให้แก่เราโดยพระคุณ และเราก็ได้รับมรดกเหล่านี้แล้วผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ขอพระเจ้าช่วยที่เราทุกคนจะยึดมั่นในพันธสัญญานี้ และดำเนินชีวิตแห่งเสรีภาพในพระองค์

17 ข้าพ​เจ้า​อธิษ​ฐาน​ว่า​ขอ​พระ​เจ้า​ของ​พระ​เยซู​คริสต์​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ของ​เรา​คือ​พระ​บิดา​ผู้​ทรง​พระ​สิริ ทรง​ให้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​มี​จิตใจที่​ประ​กอบ​ด้วย​ปัญ​ญา​และ​การ​สำ​แดง เพื่อ​ท่าน​จะ​รู้​จัก​พระ​องค์
18 ขอ​ให้​ตา​ใจ​ของ​พวก​ท่าน​สว่าง​ขึ้น เพื่อ​จะ​ได้​รู้​ว่า​พระ​องค์​ประ​ทาน​ความ​หวัง​อะไร​แก่​ท่าน​ใน​การ​ทรง​เรียก​พวก​ท่าน​นั้น และ​รู้​ว่า​มร​ดก​ที่​มี​ศักดิ์​ศรี​ของ​พระ​องค์​สำ​หรับ​พวก​ธรร​มิก​ชน​นั้น​บริ​บูรณ์​เพียง​ไร
19 และ​รู้​ว่า​ฤท​ธา​นุ​ภาพ​ของ​พระ​องค์​ยิ่ง​ใหญ่​มาก​มาย​เพียง​ไร​สำ​หรับ​เรา​ที่​เชื่อ​นั้น เป็น​ฤทธิ์​เดช​เดียว​กับ​การ​ทำ​กิจ​อัน​ทรง​อานุ​ภาพ​และ​ทรง​พลัง​ของ​พระ​องค์
(เอเฟซัส 1:17-19)

เขียนและเรียบเรียงโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
โครงร่างเนื้อหา ประยุกต์จากหนังสือของ Living Stream Ministry
  • The holy word for morning revival: crystallization-study of Exodus, week 18: Covenanting God and His covenants (1) major covenants that God made with man.
  • The holy word for morning revival: crystallization-study of Exodus, week 19: Covenanting God and His covenants (2) the contents of the new covenant.
  • Life study of Jeremiah, message 39.
  • Life-Study of John pp. 317-318, eManna for 08/10/2015
  • Life study of Hebrews, message 36.

หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น
  

No comments:

Post a Comment