ตกผลึกความจริงจากพระธรรมอพยพ บทเรียน 17:
"กฎข้อบังคับเกี่ยวกับทาส"
(อพยพ 21:1-6)
ศึกษากฎข้อบังคับเกี่ยวกับทาส ซึ่งเล็งถึงพระคริสต์ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า
และผู้เชื่อในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์ในชีวิตคริสตจักร
1 ต่อไปนี้เป็นกฎหมายซึ่งเจ้าต้องประกาศให้เขาทั้งหลายทราบไว้
2 ถ้าเจ้าซื้อคนฮีบรูไว้เป็นทาส เขาจะปรนนิบัติเจ้าหกปี แต่ปีที่เจ็ดเขาจะได้เป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่
3 หากเขามาคนเดียว จงปล่อยเขาไปคนเดียว หากเขามากับภรรยา ต้องปล่อยภรรยาของเขาไปด้วย
4 หากนายหาภรรยาให้เขา และภรรยานั้นคลอดบุตรชายหรือบุตรหญิงให้เขา ภรรยากับบุตรเหล่านั้นจะเป็นคนของนาย เขาจะเป็นอิสระได้แต่ตัว
5 ถ้าทาสนั้นมาพูดอย่างชัดเจนว่า "ข้ารักนายและลูกเมียของข้า ข้าไม่อยากเป็นอิสระ"
6 ให้นายพาทาสนั้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพาเขาไปที่ประตูหรือวงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายตลอดไป
(อพยพ 21:1-6)
2 ถ้าเจ้าซื้อคนฮีบรูไว้เป็นทาส เขาจะปรนนิบัติเจ้าหกปี แต่ปีที่เจ็ดเขาจะได้เป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่
3 หากเขามาคนเดียว จงปล่อยเขาไปคนเดียว หากเขามากับภรรยา ต้องปล่อยภรรยาของเขาไปด้วย
4 หากนายหาภรรยาให้เขา และภรรยานั้นคลอดบุตรชายหรือบุตรหญิงให้เขา ภรรยากับบุตรเหล่านั้นจะเป็นคนของนาย เขาจะเป็นอิสระได้แต่ตัว
5 ถ้าทาสนั้นมาพูดอย่างชัดเจนว่า "ข้ารักนายและลูกเมียของข้า ข้าไม่อยากเป็นอิสระ"
6 ให้นายพาทาสนั้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพาเขาไปที่ประตูหรือวงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายตลอดไป
(อพยพ 21:1-6)
อพยพบทที่
20 พระเจ้าได้ให้บัญญัติสิบประการแก่เรา และต่อด้วยกฎข้อบังคับเกี่ยวกับแท่นบูชา
มาถึงบทนี้ บทที่ 21 กฎข้อบังคับแรกที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
คือ เรื่องทาส
ทำไมเรื่องทาสจึงสำคัญนัก? พระเจ้าสนับสนุนระบบทาสหรือ?
ไม่
มีตอนใดเลยในพระคัมภีร์ที่กล่าวประณามระบบทาส
แต่เน้นย้ำถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องระหว่างเจ้านายและทาส และในพันธสัญญาใหม่
อัครทูตเปาโลเน้นความสำคัญของความเท่าเทียมกันของผู้เชื่อทุกคนในสังคม
ที่ชัดเจนที่สุด คือ จดหมายฟีเลโมน
พระธรรมฟีเลโมน
เป็นจดหมายที่เปาโลเขียนถึงฟีเลโมนเกี่ยวกับทาสของเขาที่ชื่อโอเนสิมัส ผู้ซึ่งหนีไปจากนายของเขา
แล้วได้มาต้อนรับพระคริสต์หลังจากได้พบกับเปาโลในคุก
ต่อมาเปาโลส่งโอเนสิมัสให้กลับไปหาฟีเลโมนนายของเขา พร้อมทั้งเขียนจดหมายกำชับกับฟีเลโมนให้ต้อนรับโอเนสิมัสในฐานะใหม่ในพระคริสต์
นั่นคือ ฐานะ "พี่น้องที่รัก"
เขาไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไป
แต่ดียิ่งกว่าทาส คือเป็นพี่น้องที่รัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้า และสำหรับท่านเขาเป็นมากยิ่งกว่านั้นอีก
ทั้งในฐานะที่เขาเป็นอยู่ในสังคมและในฐานะที่เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
(ฟีเลโมน 16)
(ฟีเลโมน 16)
เหตุผล
ที่เรื่องทาสสำคัญมาก
จนกระทั่งกฎข้อบังคับเกี่ยวกับเรืองนี้ได้รับการบันทึกไว้เป็นอันดับต้นๆ
เพราะทาสเป็นสิ่งที่เล็งถึงทาสหรือผู้รับใช้ของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบเพียง
ผู้เดียวในประวัติศาสตร์มนุษย์
นั่นคือพระเยซูคริสต์นั่นเอง
และเราในฐานะผู้เชื่อ จะต้องเป็นทาสของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์ตามแบบอย่างของพระองค์
ดังนั้นขอให้เรามาเรียนรู้ด้วยกันถึงแบบอย่างชีวิตของผู้รับใช้ที่สมบูร์แบบของเรา
พระคริสต์ คือ ผู้รับใช้ของพระเจ้า
คงจะไม่มีพระกิตติคุณเล่มใดเลยที่บรรยายภาพของพระเยซูในฐานะของผู้รับใช้ได้ชัดเจนเท่ากับพระธรรมมาระโก
ซึ่งเป็นภาพที่ขัดแย้งกับพระเยซูในฐานะกษัตริย์ที่ปรากฎชัดในพระธรรมมัทธิว หัวใจของพระธรรมมาระโกก็คือข้อนี้
เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ
แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น
และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก
(มาระโก 10:45)
(มาระโก 10:45)
คริสเตียน
มากมาย
(รวมถึงตัวผมเอง) ชอบพระธรรมยอห์น
เพราะทำให้เราเห็นภาพของพระเยซูในฐานะพระบุตรของพระเจ้าอย่างชัดเจน
แต่คงจะมีผู้เชื่อน้อยคนมากที่จะให้พระธรรมมาระโกเป็นเล่มโปรด
สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่คงจะไม่ชอบที่จะเห็นพระเยซูในฐานะของคน
รับใช้นัก
แต่นั่นคือมุมหนึ่งของพระเยซูที่ปรากฏชัดในพระคัมภีร์
อีกทั้งได้มีการทำนายไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจนหลายร้อยปีก่อนพระเยซูมาบังเกิด
เสียอีก
โดยเฉพาะในพระธรรมอิสยาห์ 42
และ 53 ที่ได้วาดภาพของพระเมสสิยาห์ (ผู้ที่พระเจ้าได้เจิมไว้ หรือพระคริสต์) ที่มาในฐานะผู้รับใช้ที่ต้อยต่ำและต้องเผชิญความทุกข์ยากมากมาย
ดูสิ ผู้รับใช้ของเรา
ผู้ซึ่งเราเชิดชู ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี เราเอาวิญญาณของเราใส่ไว้บนท่าน
ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปยังบรรดาประชาชาติ
(อิสยาห์ 42:1)
(อิสยาห์ 42:1)
1
ใครเล่าจะเชื่อสิ่งที่เราป่าวประกาศ?
พระกรของพระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ผู้ใด?
2 เพราะท่านเจริญขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างต้นอ่อน
และเหมือนรากที่แตกหน่อมาจากพื้นดินแห้งแล้ง
ท่านไม่มีความงามหรือความสง่าที่จะให้พวกเรามองดู
และไม่มีรูปลักษณ์ซึ่งจะให้เราพึงปรารถนา
3 ท่านถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง
เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก3
และเป็นดั่งผู้ซึ่งคนทั้งหลายหันหน้าหนี
ท่านถูกดูหมิ่น และเราไม่ได้นับถือท่าน
4 แน่ทีเดียวท่านแบกความเจ็บไข้ของพวกเรา
และหอบความเจ็บปวดของเราไป
กระนั้นพวกเรายังคิดว่าที่ท่านถูกตี
คือถูกพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
(อิสยาห์ 53:1-4)
พระกรของพระยาห์เวห์ทรงสำแดงแก่ผู้ใด?
2 เพราะท่านเจริญขึ้นเฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างต้นอ่อน
และเหมือนรากที่แตกหน่อมาจากพื้นดินแห้งแล้ง
ท่านไม่มีความงามหรือความสง่าที่จะให้พวกเรามองดู
และไม่มีรูปลักษณ์ซึ่งจะให้เราพึงปรารถนา
3 ท่านถูกดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง
เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความทุกข์ยาก3
และเป็นดั่งผู้ซึ่งคนทั้งหลายหันหน้าหนี
ท่านถูกดูหมิ่น และเราไม่ได้นับถือท่าน
4 แน่ทีเดียวท่านแบกความเจ็บไข้ของพวกเรา
และหอบความเจ็บปวดของเราไป
กระนั้นพวกเรายังคิดว่าที่ท่านถูกตี
คือถูกพระเจ้าทรงโบยตีและข่มใจ
(อิสยาห์ 53:1-4)
พระเยซูไม่ได้สอนมากมายนักถึงเคล็ดลับของการเป็นผู้รับใช้
พระองค์ไม่ได้บอกขั้นตอนว่าจะทำอะไรบ้าง แต่พระองค์แสดงให้เห็นชัดเจนด้วยชีวิตแห่งการรับใช้ที่แท้จริงของพระองค์เอง
1. จิตวิญญาณของผู้รับใช้
แน่นอน
ทาสที่ดี ย่อมมีชีวิตที่เสียสละ และก็คงจะไม่มีใครที่เสียสละได้อย่างแท้จริงได้เหมือนพระเยซูอีกแล้ว
พระองค์เป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่สูงสุด (ยอห์น 1:1) แต่เพื่อให้แผนการแห่งการคืนดีของพระเจ้าสำเร็จ
นั่นคือให้มนุษย์ในฐานะคนบาป ได้กลับมามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
พระคริสต์ได้ "สละพระองค์เอง" และ "ถ่อมตัวลง" ยอมตายที่กางเขน ชดใช้บาปแทนมนุษย์
5
จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์
6 ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้
7 แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์
8 พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน
(ฟิลิปปี 2:5-8)
6 ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้
7 แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์
8 พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน
(ฟิลิปปี 2:5-8)
นี่แหละคือแบบอย่างของผู้ที่มีจิตวิญญาณของผู้รับใช้ที่แท้จริง
2. ความรักของผู้รับใช้
จากพระธรรมอพยพบทที่
21 ทาสชาวฮีบรูที่ถูกซื้อไว้ จะมีสิทธิได้รับอิสรภาพในปีที่ 7 แต่ว่ามีทาสบางคนที่ไม่อยากได้รับอิสรภาพ ด้วยเหตุผลที่ปรากฏในข้อ
5
"ข้ารักนายและลูกเมียของข้า
ข้าไม่อยากเป็นอิสระ"
(อพยพ 21:5)
(อพยพ 21:5)
นี่แหละคือความรักของผู้รับใช้
เขาไม่อยากจากไปไหน ไม่อยากเป็นอิสระ เพราะว่าเขามีความรักที่ลึกซึ่งต่อเจ้านาย ต่อภรรยา และต่อลูก
พระคริสต์ก็เช่นกัน
พระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของผู้รับใช้ พระองค์รักพระบิดา (ยอห์น 14:1)
พระองค์รักคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายและภรรยาของพระองค์ (เอเฟซัส 5) และพระองค์ก็รักลูกของพระองค์ทุกคน
อันได้แค่ทุกคนที่ต้อนรับพระองค์และเชื่อวางใจในพระองค์ (ยอห์น 1:12; กาลาเทีย 2:20) พระองค์จึงไม่จากพระบิดา ภรรยา และลูกของพระองค์ไปไหน
แต่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่สัตย์ซื่อและเปี่ยมด้วยความรักแท้อย่างไม่มีผู้ใดเปรียบได้ตลอดไป
3. ความเชื่อฟังของผู้รับใช้
ให้นายพาทาสนั้นไปเข้าเฝ้าพระเจ้าพาเขาไปที่ประตูหรือวงกบประตู
แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายตลอดไป
(อพยพ 21:6)
(อพยพ 21:6)
เมื่อทาสผู้นั้นไม่อยากที่จะเป็นอิสระในปีที่ 7 แล้ว นายของเขาก็จะพาทาสคนนั้นไปที่ประตู แล้วเจาะหูด้วยเหล็กหมาด
การยืนที่ประตู เป็นภาพของการพร้อมปรนนิบัติเจ้านายเสมอ และการเจาะหู เป็นภาพของการรับฟังและเชื่อฟังเจ้านาย
ในชีวิตของพระเยซู เราเห็นได้ว่าพระองค์เชื่อฟังพระบิดาเสมอ พระองค์ไม่ทำอะไรเลยนอกจากจะได้รับคำสั่งจากพระบิดา และเมื่อได้รับคำสั่ง พระองค์ก็ทำได้สำเร็จอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ พระองค์เชื่อฟังพระบิดาด้วยสุดจิตสุดใจจริงๆ
พระเยซูกล่าวว่า
แต่เราทำตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา
เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา ลุกขึ้น ให้เราไปกันเถิด
(ยอห์น 14:31)
(ยอห์น 14:31)
เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง
แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร
(ยอห์น 12:49)
(ยอห์น 12:49)
พระองค์ทรงถ่อมตัวลง
ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน
(ฟิลิปปี 2:8)
(ฟิลิปปี 2:8)
นี่แหละ แบบอย่างของผู้รับใช้ที่เชื่อฟังเจ้านาย แม้จะต้องตายก็ยังยอม
ผู้เชื่อ คือ ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์
แน่นอน
เมื่อพระเยซูได้ซื้อเราแล้วด้วยราคาสูง นั่นคือด้วยหมดทั้งชีวิตของพระองค์เอง (1 โครินธ์
6:19) เราจากที่เคยเป็นทาสของซาตาน ก็ได้กลายเป็นทาสหรือผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์แล้ว
(โรม 1:1; ฟิลิปปี 1:1; ทิตัส
1:1; ยากอบ 1;1) นี่ช่างเป็นข่าวดีจริงๆ
เพราะซาตานเป็นเจ้านายที่ร้ายกาจมาก แต่พระคริสต์เป็นเจ้านายที่น่ารักและเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาอย่างยิ่ง
ผมได้เรียนรู้จากบทเรียนนี้
ถึงความจริงที่ยากที่จะเข้าใจและดูเหมือนจะขัดแย้งกันเอง นั่นคือ อิสรภาพที่แท้จริง
พบได้เมื่อเราได้เป็นทาสของพระคริสต์เท่านั้น เพราะเมื่อเราเป็นทาสของพระองค์
เราก็มีอิสรภาพที่จะรับใช้พระองค์และลูกทั้งหลายของพระองค์ด้วยใจยินดีและด้วยความรัก
ซึ่งเราไม่มีวันทำไม่ได้หากว่าเราไม่ได้เป็นทาสของพระองค์
13
พี่น้องทั้งหลาย เพราะว่าท่านถูกเรียกให้มีเสรีภาพ
ขอแต่เพียงอย่าถือโอกาสใช้เสรีภาพเพื่อทำตามเนื้อหนัง
แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด
14 เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
(กาลาเทีย 5:13-14)
14 เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
(กาลาเทีย 5:13-14)
อีกความจริงหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ซึ่งดูเหมือนจะขัดแย้งกันเอง
แต่เห็นชัดในพระคำของพระเจ้า คือ คนที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง เป็นคนที่มีใจแห่งการรับใช้
24
มีการโต้เถียงกันในพวกสาวกว่าใครในพวกเขาที่นับว่าเป็นใหญ่
25 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายเหนือเขาทั้งหลาย และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้นเรียกตัวเองว่าเจ้าบุญนายคุณ
26 แต่พวกท่านจะไม่เป็นอย่างนั้น ในพวกท่านคนที่เป็นใหญ่ต้องเป็นเหมือนเด็ก และคนที่เป็นนายต้องเป็นเหมือนผู้ปรนนิบัติ
27 ใครเป็นใหญ่กว่ากัน ผู้ที่นั่งรับประทานหรือผู้ปรนนิบัติ? ผู้ที่นั่งรับประทานไม่ใช่หรือ? แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนกับผู้ปรนนิบัติ
(ลูกา 22:24-27)
25 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า "กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายเหนือเขาทั้งหลาย และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้นเรียกตัวเองว่าเจ้าบุญนายคุณ
26 แต่พวกท่านจะไม่เป็นอย่างนั้น ในพวกท่านคนที่เป็นใหญ่ต้องเป็นเหมือนเด็ก และคนที่เป็นนายต้องเป็นเหมือนผู้ปรนนิบัติ
27 ใครเป็นใหญ่กว่ากัน ผู้ที่นั่งรับประทานหรือผู้ปรนนิบัติ? ผู้ที่นั่งรับประทานไม่ใช่หรือ? แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนกับผู้ปรนนิบัติ
(ลูกา 22:24-27)
พระเยซูได้แสดงแบบอย่างที่น่าประทับใจ
พระองค์ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่พระองค์ก็เป็นแบบอย่างของคนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ด้วยการอยู่ท่ามกลางมนุษย์ผู้ต่ำต้อยในฐานะผู้รับใช้
ยิ่งเรายิ่งใหญ่มากเท่าไร
เราก็จะยิ่งรับใช้คนอื่นได้มากขึ้นเท่านั้น และในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เรายิ่งใหญ่มาก
เพราะเราเป็นถึงลูกของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงควรที่จะดำรงชีวิตให้สมเกียรติกับการเป็นลูกของพระเจ้า
ด้วยการปรนนิบัติรับใช้พระองค์ ผ่านทางการรับใช้ในคริสตจักร และการรับใช้ลูกของพระเจ้าคนอื่นๆ
แน่
นอน
การที่จะมีใจเป็นผู้รับใช้นั้นไม่ง่ายเลยและคงจะเป็นบทเรียนที่เราต้องเรียน
รู้ตลอดชีวิต
เพราะเรามีอัตตาอยู่ แต่ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่อยู่ในเรา
เราจะสามารถปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่นได้อย่างที่พระองค์รับใช้เหล่าสาวกและ
ประชาชน
จากแบบอย่างของพระเยซูในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า ขอให้เราเลียนแบบพระองค์ให้สมกับเป็นบุตรที่รักของพระองค์
(เอเฟซัส
5:1) ด้วยการให้พระองค์เปลี่ยนแปลงชีวิตและจิตใจของเราทุกวัน (โรม
12:1-2) เพื่อที่เราจะมีจิตวิญญาณของผู้รับใช้ มีความรักของผู้รับใช้ต่อพระเจ้า
ต่อคริสตจักร และต่อลูกของพระเจ้าทุกคน และมีความเชื่อฟังของผู้รับใช้
เขียนและเรียบเรียงโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
- The holy word for morning revival: crystallization-study of Exodus, week 17: Christ as the Slave of God and the believers as slaves of God and Christ Jesus in the church life.
- Life study of Exodus, message 68.
- Collected Works of Watchman Nee, The (Set 1) Vol. 17, Emanna for 10/07/2009.
·
หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น
No comments:
Post a Comment