ตกผลึกความจริงจากพระธรรมอพยพ บทเรียน 18:
"การประกาศใช้ธรรมบัญญัติ"
(อพยพ 24:1-8)
ศึกษาเป้าหมายของพระเจ้าในการให้ธรรมบัญญัติแก่เรา โดยพิจารณาจากส่วนประกอบของพิธีรับพันธสัญญา ในอพยพบทที่ 24
1 พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า "เจ้ากับอาโรน นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 70 คน จงขึ้นมาเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ แล้วนมัสการอยู่แต่ไกล
2 ให้เฉพาะโมเสสผู้เดียวเข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ ส่วนคนอื่นๆ อย่าให้เข้ามาใกล้และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสสเลย"
3 โมเสสจึงนำพระวจนะทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์และกฎหมายทั้งสิ้นมาชี้แจงให้ประชาชนทราบ ประชาชนทั้งหมดก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "พระวจนะทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสไว้นั้น เราจะทำตาม"
4 โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระยาห์เวห์ไว้ทุกคำ แล้วลุกขึ้นแต่เช้า สร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงภูเขา และตั้งเสาหินขึ้นสิบสองต้นตามจำนวนสิบสองเผ่าของอิสราเอล
5 ท่านใช้ให้พวกคนหนุ่มๆ ของอิสราเอลถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและถวายโคเป็นเครื่องศานติบูชาแด่พระยาห์เวห์
6 แล้วโมเสสเอาเลือดโคครึ่งหนึ่งใส่ไว้ในอ่าง อีกครึ่งหนึ่งก็ประพรมที่แท่นบูชานั้น
7 ท่านเอาหนังสือพันธสัญญามาอ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขากล่าวว่า "ทุกคำที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้น เราจะทำตาม และเราจะเชื่อฟัง"
8 โมเสสก็เอาเลือดประพรมประชาชนและกล่าวว่า "นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำกับพวกท่านตามพระวจนะทั้งสิ้นเหล่านี้"
(อพยพ 24:1-8)
หลายคนอ่านพระธรรมอพยพแล้ว คงจะรู้สึกตื่นเต้นในตอนแรก เพราะเป็นเรื่องราวของการช่วยกู้ของพระเจ้าสำหรับชาวอิสราเอลจากอียิปต์ แต่พอถึงกลางๆ เล่ม ก็เริ่มรู้สึกเบื่อเพราะเต็มไปด้วยกฎข้อบังคับต่างๆ และรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราเท่าไหร่ ผมก็เป็นเช่นนั้นครับ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่าเราไม่เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของพระเจ้า ที่ให้โมเสสบันทึกพระธรรมอพยพขึ้นมา และไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของบทบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าให้โมเสสบันทึกเอาไว้
ภาพรวมของพระธรรมอพยพ
พระธรรมอพยพเป็นเหมือนหนังสือภาพ แสดงให้เราได้เห็นถึงประสบการณ์ชีวิตของผู้เชื่อหลังจากได้รับความหลุดพ้น (หรือความรอด) ผ่านทางการเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว ความหลุดพ้นไม่ได้จบอยู่แค่เมื่อเราเชื่อแล้วเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์ที่ดำเนินต่อไปทุกๆ วันตลอดทั้งชีวิต
ภาพของพระธรรมอพยพ เริ่มต้นที่การไถ่ของพระเจ้า และจบลงที่พลับพลาของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้า พระธรรมอพยพสอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้เชื่อทุกคน โดยเริ่มต้นที่การไถ่ของพระเจ้าจากอำนาจของซาตาน (ฟาโรต์) และโลกที่ปกครองโดยซาตาน (อียิปต์) ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราด้วยการที่พระเจ้าประหารตัวเก่าของเราและให้ชีวิตใหม่แก่เรา (การข้ามทะเลแดง ซึ่งเป็นภาพของประสบการณ์ของบัพติศมา) หลังจากนั้นพระองค์นำเราไปสู่สามัคคีธรรมกับพระองค์ (ถิ่นทุรกันดาร) และช่วยให้เราสู้รบกับเนื้อหนังของเรา (อามาเลค) แล้วในที่สุด ชีวิตของเราก็จะกลายเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้า ซึ่งเป็นที่ที่เราจะอาศัยอยู่กับพระองค์ และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ตลอดไป (พลับพลา)
วัตถุประสงค์ของธรรมบัญญัติ
ก่อนที่จะมาถึงกฎข้อบังคับเกี่ยวกับพลับพลา พระเจ้าได้ให้บทบัญญัติแก่โมเสส ที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นบัญญัติสิบประการ (อพยพ 20)
ทำไมพระเจ้าถึงให้บทบัญญัติแก่ประชากรของพระองค์? พระองค์ต้องการชี้แจงว่าประชากรของพระองค์ต้องทำอะไร และห้ามทำอะไรเท่านั้นหรือ? เราในฐานะผู้เชื่อต้องศึกษาทุกตัวอักษร เพื่อจะได้ทำตามบทบัญญัติทุกอย่างให้ครบถ้วนอย่างนั้นหรือ?
แน่นอน พระบัญญัติของพระเจ้านั้นดีเยี่ยมยอด และการเชือฟังก็นำมาซึ่งพระพร แต่วัตถุประสงค์หลักของธรรมบัญญัติ ไม่ใช่เพื่อให้เราพยายามปฏิบัติตามอย่างครบถ้วนด้วยตัวเอง เพราะเราคงทำไม่ได้แน่นอน และพระเจ้าก็คงไม่ใจร้ายที่จะให้เราทำสิ่งที่เราทำไม่ได้
วัตถุประสงค์ของธรรมบัญญัติต่างๆ ก็คือ
1. เพื่อให้เราได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น ธรรมบัญญัติแสดงให้เราเห็นถึงบุคลิกลักษณะของพระเจ้าผู้เขียนธรรมบัญญัติขึ้นมา เมื่อเราอ่าน เราก็จะได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้น และได้เห็นว่าพระองค์มีลักษณะอย่างไร เช่น พระเจ้าของเราบริสุทธิ์ ชอบธรรม เปี่ยมด้วยความรัก หวงแหน สัตย์ซื่อ ฯลฯ ที่น่าสนใจคือพระเจ้าเรียกแผ่นหินที่บันทึกบัญญัติสิบประการว่าเป็น "tablets/tables of the testimony" (อพยพ 31:18) ซึ่งก็คือ พระศิลาแห่ง "การสำแดง" หรือ "คำพยาน" ดังนั้นพระบัญญัติจึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เรารู้จักพระเจ้ามากขึ้น
2. เพื่อให้เราเห็นถึงความบกพร่องของเราเอง และหันมาพึ่งพาพระเยซู ธรรมบัญญัติเปิดโปงความชั่วร้ายของจิตใจของเรา ทำให้เรารู้ตัวว่าบกพร่องในทุกๆ ด้าน และในที่สุด ธรรมบัญญัติก็จะนำเราให้พึ่งพาพระคุณความรักของพระเยซู
"เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นผู้ควบคุม (หรือครู) ของเรา จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อ" (กาลาเทีย 3:24)
นอกจากนี้ ถ้าเราจะพยายามทำตามธรรมบัญญัติทั้งสิ้น แต่พลาดหัวใจของธรรมบัญญัติไป ก็คงจะเป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรง พระเยซูได้บอกหัวใจของธรรมบัญญัติไว้ คือ
29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า "พระบัญญัติอันดับแรกคือ โอ ชนอิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า ของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว
30 พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน
31 ส่วนพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสองคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ไม่มีพระบัญญัติอื่นใดที่สำคัญยิ่งกว่าพระบัญญัติเหล่านี้"
(มาระโก 12:29-31)
การประกาศใช้ธรรมบัญญัติ
4 โมเสสจึงจารึกพระวจนะของพระยาห์เวห์ไว้ทุกคำ แล้วลุกขึ้นแต่เช้า สร้างแท่นบูชาขึ้นที่เชิงภูเขา และตั้งเสาหินขึ้นสิบสองต้นตามจำนวนสิบสองเผ่าของอิสราเอล
5 ท่านใช้ให้พวกคนหนุ่มๆ ของอิสราเอลถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและถวายโคเป็นเครื่องศานติบูชาแด่พระยาห์เวห์
6 แล้วโมเสสเอาเลือดโคครึ่งหนึ่งใส่ไว้ในอ่าง อีกครึ่งหนึ่งก็ประพรมที่แท่นบูชานั้น
7 ท่านเอาหนังสือพันธสัญญามาอ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขากล่าวว่า "ทุกคำที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้น เราจะทำตาม และเราจะเชื่อฟัง"
8 โมเสสก็เอาเลือดประพรมประชาชนและกล่าวว่า "นี่เป็นโลหิตแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำกับพวกท่านตามพระวจนะทั้งสิ้นเหล่านี้"
(อพยพ 24:4-8)
ในอพยพ 24 พระเจ้ากำหนดพิธีหนึ่งขึ้นมา นั่นคือ "พิธีรับพันธสัญญา" ซึ่งเป็นเหมือนการประกาศใช้ธรรมบัญญัติอย่างเป็นทางการ พระเจ้าสั่งให้อาโรน นาดับ อาบีฮู และผู้ใหญ่ 70 คนไปเข้าเฝ้าพระองค์และนมัสการพระองค์ด้วย แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพิธีนี้
ที่น่าสังเกต คือ หลังจากผ่านการประกาศใช้แล้ว พระคัมภีร์เรียกหนังสือที่บันทึกพระคำของพระเจ้า ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมบัญญัติว่า "หนังสือพันธสัญญา" พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งพันธสัญญา พระคำของพระองค์เป็นพันธสัญญาระหว่างพระองค์กับเรา และเราก็เชื่อวางใจในพระสัญญาต่างๆ ได้ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าที่เราทำสัญญาด้วยนั้นสัตย์ซื่อ
ในพิธีนี้ มีองค์ประกอบสำคัญที่เราควรเห็นและเข้าใจ ได้แก่ แท่นบูชา (พร้อมด้วยเครื่องบูชา และโลหิต) และเสาหิน
แท่นบูชา เครื่องบูชา และโลหิต
เมื่อมีการประกาศใช้ธรรมบัญญัติ แท่นบูชา เครื่องบูชา และโลหิตเป็นสิ่งสำคัญในการประกอบพิธี และทั้งสามสิ่งนี้ชี้ให้เราเห็นถึงหัวใจของธรรมบัญญัติ นั่นคือการตายบนไม้กางเขนของพระเยซู เพื่อที่นำความหลุดพ้นมาสู่มนุษย์โลกทุกคนที่เชื่อวางใจในพระองค์
แท่นบูชาเป็นสัญลักษณ์ของกางเขน เครื่องบูชาเป็นสัญลักษณ์ของพระเยซูคริสต์ และโลหิตเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูที่หลั่งออกเพื่อชำระล้างเราให้ขาวสะอาด
พระธรรมฮีบรูได้กล่าวยืนยันชัดเจน
10 เรามีแท่นบูชาแท่นหนึ่ง และคนที่ปรนนิบัติในพลับพลานั้นไม่มีสิทธิ์รับประทานของจากแท่นนั้น
11 เพราะร่างของสัตว์เหล่านั้นที่มหาปุโรหิตได้เอาเลือดเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปนั้น เขาเอาไปเผาเสียนอกค่าย
12 เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงได้ทรงทนทุกข์ภายนอกประตูนครเช่นเดียวกัน เพื่อทรงชำระประชาชนให้บริสุทธิ์ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง
(ฮีบรู 13:10-12)
ดังนั้น ทุกครั้งที่เราอ่านธรรมบัญญัติ ขอให้เรามองดูที่แท่นบูชานั้นและนึกถึงแท่นบูชาที่ใช้ในการถวายพระเยซูผู้เป็นเครื่องบูชาอันสมบูรณ์แบบ นั่นคือ ไม้กางเขนของพระคริสต์
เมื่อเราได้นึกถึงกางเขนแล้ว ก็ขอให้เรามองเห็นพระเยซูผู้ซึ่งมอบหมดทั้งชีวิตของพระองค์เองเพื่อเรา ที่กางเขนนั้นเราได้รับการไถ่ ที่กางเขนนั้นเราถูกตรึงตายร่วมกับพระองค์ และที่กางเขนนั้นเราได้รับชีวิตใหม่ร่วมกับพระองค์ นี่คือหัวใจของธรรมบัญญัติ และพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับเรา
เสาหิน
หลังจากสร้างแท่นบูชาแล้ว โมเสสก็สร้างเสาหินขึ้นมาสิบสองต้น ตามจำนวนเผ่าของอิสราเอล
ความหมายของเสาหินคืออะไร? ในสมัยซาโลมอน ได้มีการสร้างเสาขึ้นมาเช่นกัน
ท่านตั้งเสาไว้ที่เฉลียงพระวิหาร ท่านตั้งเสาข้างขวาไว้ และเรียกชื่อว่ายาคีน และท่านตั้งเสาข้างซ้ายไว้ เรียกชื่อว่าโบอัส
(1 พงศ์กษัตริย์ 7:21)
ยาคีน แปลว่า "พระองค์สถาปนาให้มั่นคง" และโบอัส แปลว่า "พระกำลังในพระองค์" เสาทั้งสองต้นเป็นพยานยืนยันถึงพระลักษณะของพระเจ้า
เสาหินในพิธีรับพันธสัญญาก็เช่นเดียวกัน มันเป็นพยานที่สำแดงพระเจ้าแก่ผู้ที่พบเห็น ดังนั้นความหมายของเสาหินสำหรับเรา คือ หลักสำคัญของธรรมบัญญัติไม่ใช่การที่เราจะพยายามเคร่งครัดทำตามทุกประการด้วยกำลังของเราเอง แต่เป็นการที่เราจะตระหนักว่า หน้าที่ของเราคือเป็นเสาหินนั้น ที่สะท้อนให้ชาวโลกได้เห็นพระเจ้า และวิธีเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ คือ การยอมให้พระเจ้านำเราผ่านกระบวนการไถ่ กระบวนการประหารชีวิตเก่า และกระบวนการสร้างชีวิตใหม่ของพระคริสต์ในชีวิตของเรา ดังนี้แหละ เมื่อโลกเห็นเรา เขาก็จะได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นเช่นไร
ขอให้เรากล่าวพร้อมกับเปาโลในกาลาเทีย 2:20 ว่า
ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า
(กาลาเทีย 2:20)
เขียนและเรียบเรียงโดย ธีรยสถ์ นิมมานนท์
โครงร่างเนื้อหา ประยุกต์จากหนังสือของ Living Stream Ministry
- The holy word for morning revival: crystallization-study of Exodus, week 18: Christ as the Slave of God and the believers as slaves of God and Christ Jesus in the church life.
- Life study of Exodus, message 76-77.
หมายเหตุ: ข้อพระคัมภีร์ที่อ้างอิง มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไทย ฉบับมาตรฐาน ปี 2011 (THSV11) ของสมาคมพระคริสตธรรมไทย หากไม่ได้ระบุว่ามาจากฉบับอื่น
No comments:
Post a Comment